Thai | English
ontcu
ฉันชื่อontcu อาศัยอยู่ในบางนา. I work in อ.เมืองสมุทรปราการ. ชอบไปลั้นลาที่บางนา, หนองบอน, บางจาก. อาหารญี่ปุ่น, อาหารอิตาเลียน, อาหารนานาชาติ are my favorite cuisines. ชอบไปลั้นลาที่ ร้านผับแอนด์เรสเทอรองต์, ร้านในคอมมูนิตี้มอลล์และสเต็ก, ปิ้งย่าง บาร์บีคิว, ซูชิ ซาซิมิ.
สมาชิก 77 รีวิวแรก
รีวิว202 รีวิว
編輯推介數目109 Editor's Choice
Recommended48 แนะนำ
ความนิยม18587 เข้าชม
Replies in Forum7 ความคิดเห็น
อัพโหลดรูปภาพ7949 รูปภาพ
อัพโหลดวิดีโอ8 วิดีโอ
My Recommended Reviews1 รีวิวแนะนำ
My Restaurant181 ร้านโปรด
Follow90 Following
粉絲1384 Follower(s)
ontcu  Level 4
ติดตาม ติดตาม  ความคิดเห็น: Leave a Message 
เรียงตาม:  วันที่ ยิ้ม ยิ้ม ไม่ปลื้ม ไม่ปลื้ม  Editor's Choice  คะแนนโดยรวม 
 
 
 
 
 
  เวอร์ชั่นเต็ม เวอร์ชั่นเต็ม   |   ดูแผนที่ ดูแผนที่
แสดงรีวิวที่ 1 ถึง 5 จาก 202 รีวิวใน ประเทศไทย
Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : อาหารญี่ปุ่น | ร้านอาหารทั่วไป | ซูชิ ซาซิมิ

 
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพามารู้จักและทานอาหารญี่ปุ่น

แนวซูชิบาร์ระดับพรีเมี่ยมน้องใหม่แต่เก๋าประสบการณ์

กับร้าน "Maiuu" (มายยู)

ก่อนอื่นมารู้จักประวัติร้านโดยสังเขปกันสักนิด

ร้าน Maiuu ตั้งอยู่ที่ซอยราชครู พหลโยธิน ซอย 5

จากปากซอยเข้ามาประมาณ 50 เมตรครับ

จะเป็นเวิ้งทางซ้ายมือ หรือถ้าใครรู้จักคุ้นเคย

กับร้านไดจัง ปิ้งย่างชั้นยอดแล้วล่ะก็

ร้าน Maiuu ก็มาอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งนั้นแทนที่เองครับ

ร้าน Maiuu มีเวลาเปิด-ปิดบริการดังนี้

วันอังคาร-วันเสาร์ เปิด 11:00-14:00

และ 17:-22:00 last order 21:30

(พักเบรคช่วง 14:00-17:00)

วันอาทิตย์ เปิด 11:00-21:00 last order 20:30

(ไม่มีพักเบรค)

วันจันทร์ ร้านปิด

เมนูแนะนำ นิกิริ แบบดั้งเดิม วัตถุดิบสดใหม่

ส่งตรงจาก Hokkaido สัปดาห์ละ 5 ครั้ง

ใครอยากทานปลาสด ๆ ไปได้แทบทุกวันครับ

ปลาจะไม่เข้าแค่วันอาทิตย์และวันพุธ 2 วันนี้เท่านั้นเอง

เมนูโปรโมชั่นสลับผลัดเปลี่ยนไปทุกเดือน
เรามาดูร้านจริง ๆ กันเลยดีกว่าครับ

หน้าร้านอลังการ(ขนาดยังไม่เสร็จดี)

เพราะตอนนี้เพิ่งเริ่มเปิดทำ Soft Opening

ป้ายร้านด้านบนยังไม่ได้ทำการตกแต่งให้เรียบร้อย

ซึ่งได้ข่าวคราวจากพี่โอ๊ต เจ้าของร้าน

ว่าจะทำการเปิดร้าน Grand Opening อย่างเป็นทางการ

ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ที่จะถึงนี้

 
ก้าวเข้าร้านมาประจันหน้าเจอกับบาร์เครื่องดื่มเต็ม ๆ

สมกับที่เป็นร้านซูชิบาร์เลย

 
แก้วไวน์เรียงกันสวยงาม
อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพไปเรื่อย ๆ

 
พี่โอ๊ต เจ้าของร้าน กับลีลาการจัดเตรียมเครื่องดื่ม

ดูแลด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ เทคแคร์ทุกโต๊ะดีจริง ๆ ครับ

 
และแล้วผมก็เจอเนื้อคู่สำหรับเครื่องดื่มค่ำคืนนี้

 
นอกเหนือจากเบียร์สด เบียร์ขวดจากญี่ปุ่นแล้ว

ก็ยังมีสาเก โชจู เหล้าบ๊วย ฯ ไว้รอให้เลือกดื่มครับ

 
เดินดูบรรยากาศกันเล็กน้อย

พี่โอ๊ต แว๊บไปเทคแคร์ลูกค้าโต๊ะใหญ่แล้วครับ

 
ผ่านโซนด้านหน้าไปแล้ว

ไปถึงโซนด้านหลังที่ผมได้ทำการจองโต๊ะกันบ้าง

ขวามือจะเจอกับบาร์ซูชิ ที่มีเชฟอคิระ สุดยอดเชฟ

ยืนประจำการ พร้อมกับผู้ช่วยเชฟอยู่ครับ

ตรงบาร์ที่ประจันหน้ากับเชฟอคิระ จะได้นั่งได้ 5 ที่

น่าจะเหมาะสำหรับทานแบบ Omakase แล้วได้สนทนา

กับเชฟอคิระระหว่างรับประทานครับ

 
อุปกรณ์ประจำที่นั่ง

 
มองมาอีกทางจะเป็นรูปแบบโต๊ะประมาณที่ผมจองไว้ครับ

ลักษณะนี้เลย เป็นโซฟา 1 ฝั่งกับเก้าอี้ 1 ฝั่ง

 
จบจากบรรยากาศรอบ ๆ แล้ว ก็มานั่งออเดอร์ไป

ซึ่งวันนี้ไม่ได้ออเดอร์ไปเยอะแยะมากมาย

เพราะตั้งใจมาละเลียดความสด ความอร่อย และความสุข

ที่ได้จากมื้อนี้มากกว่าทานเยอะ ๆ ครับ

ทานน้อย ๆ ก็อิ่มนะถ้าค่อย ๆ ทาน 555

ภาพเมนูผมไม่ได้ถ่ายมานะครับ

เพราะแต่ละเมนู น่าจะไปอ่านและคุยกับทางร้าน

ทางเชฟอคิระ หรือพี่โอ๊ต เจ้าของร้าน

ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างในแต่ละเมนู

โดยเฉพาะพวกโรลต่าง ๆ เพราะเชฟอคิระได้สร้างสรรค์

ได้อย่างน่าสนใจและดูลงตัวจริง ๆ ครับ

อุ่นเครื่องเบา ๆ กับเครื่องดื่มประจำตัวคืนนี้

เบียร์สดเย็นฉ่ำ ยี่ห้อประจำ 555

 
ระหว่างรออาหาร ทางร้านจะมีซุปใส

รสชาติสุดยอดมากระตุ้นต่อมความหิว

เพื่อรอการรับรสของอาหารด้วยครับ

มาพร้อมกับผ้าเย็นให้เช็ดมือเพื่อความสะอาดด้วย

 
แล้วอาหารที่ออเดอร์ไปก็มาครับ

เริ่มต้นบรรเลงกันที่ "Maguro Trio"

3 ส่วนหลักของปลามากุโร่ญี่ปุ่น(hon maguro)

ประกอบด้วย โอโทโร่ เนื้อปลาส่วนท้อง 1 คำ

ชูโทโร่ เนื้อปลาส่วนระหว่างท้องกับเนื้อแดง 1 คำ

และ อากามิ เนื้อปลาส่วนเนื้อแดง 1 คำ

 
อีกมุมครับกับ 3 สหายไลน์เดียวกัน

 
อากามิ เนื้อแดงแน่นนุ่มได้สัมผัสปลาเต็ม ๆ

 
ชูโทโร่ เนื้อแดงติดมัน หรือมันติดเนื้อแดงดีแล้วแต่จะเรียก

ชิ้นนี้เป็นส่วนที่ชอบที่สุดครับ ไม่มันมากกำลังนุ่มนวล

ได้เนื้อได้น้ำมันเอร็ดอร่อยกับโอเมเก้ทรี

 
ส่วนชิ้นนี้เป็น โอโทโร่ เนื้อท้องมันลายราวกับเนื้อวัว

เป็นชิ้นส่วนที่มันที่สุด เหมาะกับคนชอบของมันมาก ๆ

แต่ก่อนผมก็ชอบแต่เคยทานเยอะไปหน่อย

ตื่นมาเจ็บคอเลย 555

เลยหันมาชอบชูโทโร่แล้วครับตอนนี้

ใครที่ชอบไม่ควรพลาด จะได้รู้สึกถึงความหอมหวล

ละลาย และที่สำคัญเชฟไม่ทิ้งเอ็นไว้ให้รำคาญ

การเคี้ยวเลยแม้แต่น้อยครับ สุดยอด !!!

 
ดูกันหลาย ๆ มุม มุมไหนหล่อจัดไป

 
จากนั้นสลับด้วยของร้อนที่มาเสริฟหน่อยครับ

กับ "Inaiwa Udon" เส้นอุด้งแบบเล็กนุ่มละมุน

ใส่เนื้อไก่ส่วนสะโพกและต้นหอมญี่ปุ่นสไลด์

ในน้ำซุปสุดกลมกล่อม แป๊ปเดียวมีเกลี้ยงชาม

 

 
ต่อกันที่โรลครับ

เลือกสั่ง "Salmon Lava Roll"

ที่รังสรรค์เมนูโดยเชฟอคิระ

 
เป็นโรลไส้ปูอัด ไข่หวาน ผัก และซอสสูตรพิเศษ

ห่อรวมไว้ด้วยสาหร่างและข้าว

วางชิ้นปลาแซลมอนเบิร์นผิวหน้าปิดมิดข้าวซูชิ

แล้วก็ท็อปไว้ด้วย อิคุระ(ไข่ปลาแซลมอน)แบบแช่โชยุด้านบน

และโรยอิคุระไว้ด้านข้างอีกเพียบเลย

 
เมนูนี้ เคี้ยวพร้อมกันฟินไปสามโลก 555

ต่อกันด้วยเมนูปราบเซียนของหลาย ๆ ร้าน

ถ้าไม่ได้ปลาสด ปลาดีและการปรุงที่ดี

เมนูบ้าน ๆ ราคาไม่แพงเมนูนี้

ทำตกม้าตายมาหลายร้านแล้วครับ

กับ "Saba Shio" ปลาซาบะย่างเกลือ

 
เชฟทำการย่างมาได้พอดี ไม่แห้งไม่แฉะเกินไป

โรยเกลือได้เหมาะสม แกล้มกับไช้เท้าฝนแล้วเข้ากัน

บีบมะนาวหรือไม่บีบก็ได้แล้วแต่ความชอบเลยครับ

 
กินของย่างแล้วกินของปิ้งกันต่อครับ

สั่งรวม ๆ ไฮไลท์ที่ได้รับคำแนะนำจากพี่โอ๊ต เจ้าของร้าน

ให้ช่วยเลือกที่เจ๋ง ๆ ให้สัก 4-5 อย่าง

 
เลยได้มาประกอบไปด้วย

(จากซ้ายไปขวา)

Jyo Gyu Tan ลิ้นส่วนดีที่สุด 1 ไม้

Maiuu(seseri) เนื้อคอไก่ไร้กระดูก 2 ไม้

Honetsuki Karubi เนื้อวัวติดซี่โครง 1 ไม้

Butabara หมูสามชั้น 1 ไม้

Gyu Tan ลิ้นวัวธรรมดา 1 ไม้

(เอามาลองเทียบกับส่วนดีที่สุด)

 
ลองเลยละกัน

หมูสามชั้น โอยย คำแรกก็เด็ด

หนังหนึบ ๆ มัน ๆ เนื้อนุ่ม

เกลือโดนมะนาวตัดแล้วยิ่งโดดเด่น

ลิ้นธรรมดา ก็หนึบสู้ฟันดี ไม่เหนียวนะ

เนื้อติดซี่โครงก็แจ่ม

เซเซริ คอไก่ไร้กระดูกยิ่งเยี่ยมยอด

แต่ไม้นี้สุดยอดที่สุดตามคำแนะนำ

ถ้าใครชอบลิ้นวัวสั่งตัวท็อปนี้ไม่ผิดหวังครับ

ทั้งหนา นุ่ม หนึบ ไม่สาก อร่อยสุด ๆ

เนื้อวัวกับเบียร์ก็ของคู่กันล่ะนะ 555

 
ต่อกันด้วยความติดใจของรสชาติ Salmon Lava Roll

แต่ดันไปแหวกแนวเมนูเชฟอีก ซึ่งเชฟก็ยินดีทำให้

ด้วยการไม่เบิร์นหน้าปลาแซลมอนครับ

 
คือดี คืองาม คือปลาสด คือปลากรอบ

คือปลาหวาน ใครชอบแซลมอนจะไม่ผิดหวังเลย

ไม่ว่าจะเบิร์นหรือไม่เบิร์นผิวหน้าปลาแซลมอนก็ตาม

 
เก็บความประทับใจมาหลาย ๆ ช็อตเลย

 
ยังไม่หนำ ขอซ้ำกับ 3 สหาย Maguro Trio อีกรอบ

เพราะมีโปรโมชั่นตัวนี้อยู่ จากราคา 800 บาท

เหลือเพียง 500 บาทเท่านั้น อย่าพลาดกันเลยนะ

 
ประทับใจ กดถ่ายภาพรัว ๆ อร่อยรัว ๆ ด้วยเช่นกัน

โอโทโร่ ลายมันอย่างกับเนื้อหนอกวัว 5555

 
ชูโทโร่ โอยรีวิวไปหิวไปครับตอนนี้

 
อากามิก็ชุ่มฉ่ำ กรี๊ดดดดดดดดดด 555

 
ดูรีวิวนี้แล้วอย่าว่าผมเลยนะครับ

อ่านไปอ่านมา มันจะบ้ารึเปล่า

คือตอนนี้ที่พรั่งพรูออกมาคือความรู้สึกล้วน ๆ

ไม่มีวิชาการแล้วครับ สติไปอยู่กับปลาดิบหมดแล้ว

หลาย ๆ คนอาจอยากจะเห็นภาพข้าว

ผมเลยพลิกขึ้นมาให้ดู ว่าข้าวคำเล็กคร้าบ

สาว ๆ ไม่ต้องกลัวอ้วน แต่ไม่ได้เล็กจิ๋วนะครับ

เล็กแบบพอดีกับชิ้นปลาใหญ่ ๆ ให้ได้ไม่เสียรสชาติ

กันและกัน เชฟจัดให้เข้ากันอย่างดีที่สุดครับ

 
ยัง ๆ ยังไม่หมดครับ

ต่ออีกนิดกับ "Uni" ไข่หอยเม่นสด ๆ

สีสวยมาก แม้จะไม่ได้กระเปาะมาแบบใหญ่ ๆ

แต่ไซส์นี้ สีนี้ รสชาติแบบนี้ ตายครับ

ตาย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ กินแล้วอร่อยตายเลยครับ

 
นึกถึงแล้วน้ำตาปริ่ม ๆ ด้วยความอร่อยเลย

 
เอ้าครับ ยกแก้วให้เชฟอคิระเลยผม

 
แล้วก็มาต่อปิดท้ายกันที่ของทอดครับ(เบรคอารมณ์กระทันหัน)

เนื่องจากพี่โอ๊ต มีร้าน Kansai Izakaya ที่รัชดาซอย 4

อยู่อีกร้านนึง ซึ่งเน้นของทอด ปิ้ง ย่าง ฉบับไม้

และได้นำเมนูบางส่วนมาลงไว้ให้คอชอบดื่มได้มีของทอดอร่อย

เลือกทานแกล้มกันด้วยครับ

ผมเลยจัดมา 4 ไม้เบา ๆ แบบที่เป็นที่ยอดนิยมครับ

(จากซ้ายไปขวา)

Cheese-Moji-Sweet Poatao-Sausage

ชีส-โมจิ-มันหวานญี่ปุ่น-ไส้กรอก

 
หลังจากจัดของทอดเสร็จแล้ว ได้ยินแว่ว ๆ จากพี่โอ๊ต

ว่าปลาฮามาจิเพิ่งลงจากเครื่องมาได้ตะกี้นี้เอง

เลยต้องขอจัดการปลาสดอีกสัก 2 คำ

เลยต้องรบกวนเชฟอคิระอีกรอบครับ

พร้อมกับถ่ายภาพตอนแล่ปลา

มาให้ดู พร้อมประวัติเชฟอคิระเล็กน้อยครับ

เชฟลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น “เชฟอคิระ เขมาวุฒานนท์”

ผู้สั่งสมประสบการณ์การทำอาหารสไตล์

ญี่ปุ่นแบบสมัยใหม่ (Modern Japanese Fusion)

มามากกว่า 27 ปี มีความรู้ทางด้านอาหารนานาชาติ

ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส, อิตาเลียน และ จีน เคยทำงานในโรงแรม 5 ดาว

มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ดุสิตธานี กรุงเทพ,

โรงแรม ฮิลตัน สุขุมวิท และโรงแรม แกรนด์ แปซิฟิก กรุงเทพ เป็นต้น

 

 
เรียบร้อยโรงเรียนเชฟอคิระและร้าน Maiuu

ได้ออกมาเป็น 2 คำนี้ครับ

ปลาฮามาจิสด ๆ เนื้อใสกิ๊ง ๆ ปิ๊ง ๆ เลย

 
ไม่ผิดหวังจริง ๆ ครับ ต้องจัดจริง ๆ

กัดแล้วสัมผัสแรกของเนื้อปลากรอบสู้ฟัน

ตามด้วยความนุ่มและชุ่มฉ่ำของมันปลา

ผสานกับข้าวซูชิที่พิถีพิถันอย่างดีในการปรุงและปั้น

จนต้องอุทานเป็นภาษาบ้านเกิด(ของใครฟระ)

ว่า "อุไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(ใส่เอ๊คโค่เอานะ)"

 
อยากจะงับอีกหลาย ๆ คำ

แต่ก็ต้องเผื่อท้องไว้ของหวานบ้างละครับ

 
ของหวานสั่งไป 2 อย่างครับเป็นตัวที่แนะนำ

อย่างแรก Blondie Matcha Ice Volcano

(Blondie คือ บราวนี่สีขาวเพราะใช้ไวท์ช็อคทำครับ)

 
จุดเด่นไฮไลท์คือกระทะร้อน ที่เมื่อพอซอสคาราเมล

หอม ๆ ราดลงผ่านไอศกรีมชาเขียวและบลอนด์ดี้

สู่กระทะร้อน จะให้เกิดไอระอุพร้อมควันหอม ๆ

ขึ้นมาให้ได้ทั้งเสพทั้งกลิ่น รูป รส ภาพ เสียง เลยครับ

ถ่ายวีดีโอมาฝาก มาดูกันเลยครับผม

Blondie Matcha Ice Volcano

 

 
กินพร้อมกัน ร้อน ๆ เย็น ๆ อร่อยมาก ๆ

 
อย่างต่อมาเป็น Milk Ice cream ครับ

มาพร้อมกับโมจินุ่ม ๆ ด้านบนวางด้วย

ถั่วแดงหวาน

 
อีก 1 เมนูสดชื่นปิดท้ายมื้อ

ได้รสนมเต็ม ๆ มาพร้อมความหวานของถั่วแดง

และนุ่มหนึบของโมจิ

 
เป็นอันจบรีวิวซูชิบาร์ที่มากกว่าความอร่อย

อย่างที่ต้องลองไปเปิดประสบการณ์จริง ๆ

แนะนำเลยครับ ว่ามีโอกาสต้องไปลอง

คราวหน้าอยากจะลอง Omakase ครับ

แต่ตอนนี้ต้องขอไปพิมพ์และตากธนบัตรก่อนครับ

SaYoNaRa + Banzai + Umai !!!

 
เมนูแนะนำ:  นิกิริ,ซูชิ,ซาซิมิ,โร,อิซากายะ,คุชิซึกิ,โอมาคาเซะ
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


วันที่ไปกิน: Jan 24, 2015 

ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿1500(มื้อเย็น)

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 5  |  
Environment
 5  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0

Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : อาหารนานาชาติ | ร้านในโรงแรม รีสอร์ต | บุฟเฟ่ต์ | ลำลอง | ครอบครัว ลำลอง | โอกาสพิเศษ

Seafood BBQ Festival

 

วันนี้จะพามาทาน Weekend Brunch

ในราคาไม่เกิน 1,000 บาทกันครับ

โดยไฮไลท์จะอยู่ที่ Seafood นั่นเอง

 
กับห้องอาหาร The Square Novotel

Bangkok Platinum ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง

ตรงแยกประตูน้ำทางเข้าเดียวกับ

Platinum mall เลยครับรวมถึง

ใช้ที่จอดรถร่วมกัน หากขับรถมา

จะหาที่จอดยากสักนิดนึงนะครับ

ห้องอาหารนี้จัด buffetเฉพาะมื้อกลางวัน

ส่วนมื้อเย็นจะเป็น a la carte

ค่อนข้างแปลกแตกต่างจาก The Square

ที่อื่น ๆ ที่จัด buffet ทั้งมื้อกลางวัน

และมื้อค่ำด้วยเลย

 

 
บรรยากาศห้องอาหาร มีหลายส่วน

ให้เลือกนั่งทั้งห้องส่วนตัว

ห้องโถงใหญ่ ซึ่งแบ่งซอยย่อย

ออกเป็นหลายส่วน มีมุมโต๊ะเด็ก

ไว้ให้เด็กทำกิจกรรมเล่นของเล่น

พัฒนาสมอง ระบายสีเล่นรวมถึงบริเวณระเบียง

ทุกโต๊ะสามารถเดินสู่ไลน์ buffet

อย่างไม่ติดขัด

การบริการ พนักงานหมั่นเติมน้ำเย็น

และเก็บจานจังหวะที่เราไปตักอาหาร

เชฟตาม station ต่าง ๆ ก็แนะนำ

และทำตามสั่งได้อย่างดีครับ

 

 

 

 

 
ไฮไลท์อย่างที่แจ้งข้างต้น

เป็น Seafood มีทั้ง ปูม้า หอยนางรมสด

หอยแมลงภู่ กุ้ง กั้งกระดาน แซลมอน

โดยมีทั้ง On ice, Grilled station และ

ไลน์อาหารปรุงสำเร็จ ไว้ให้เลือกทาน

สด ใหม่ ตามธีม Seafood BBQ Festival

 

 

 

 
ลำดับต่อมาที่ขึ้นชื่อและเป็นที่แนะนำ

ของห้องอาหารนี้คือ อาหารจีน

สไตล์สิงคโปร์ มีทั้งหมูกรอบหนัง

กรอบกริ๊บ เป็ดย่างเนื้อนุ่มหนังกรอบ

หมูแดงเนื้อนุ่ม ๆ ที่ต้องไม่พลาด

ไลน์ติ่มซำและซุปก็มีให้เลือกหลากหลาย

จนผมนี่ตาลายลืมหยิบมาชิมซะงั้น

เสียดายไม่หายเลยครับ

และยังมีกระเพาะปลารสเด็ดอีกด้วยนะ

 

 

 
ต่อกันที่ Grilled station นอกจากจะมี

Seafood แล้วก็ยังมีเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว

ไว้รอทำสเต็กให้อย่างพร้อมเพรียง

จะราดซอสเกรวี่ที่ทำจากเนื้อวัว

จิ้มแจ่ว จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดก็จัดได้เลยครับ

เพราะเชฟจะไม่ปรุงรสมา ให้เราได้เสพ

ความสด รสเดิม ๆ ของวัตถุดิบกันเลย

 

 

 
ไปกันที่ Pasta station มีเส้นกับซอส

ให้เลือกใส่ตามใจชอบ โดยเชฟจะทำ

ให้จานต่อจานอาจจะช้าแต่ได้สดใหม่

ส่วนพิซซ่าจะเป็นแป้งบางกรอบ

หน้าพิซซ่าก็เป็น Seafood และรสอื่น

ตามแต่ที่เชฟจะทำออกมา

 

 

 
Craving station เป็นอีกจุดที่ต้องแวะโดน

เพราะเป็นซี่โครงแกะ และแฮมอบน้ำผึ้ง

เสียดายที่แกะไม่ทำมิ้นต์ซอสออกคู่มา

ต้องราดน้ำเกรวี่ที่เคี่ยวจากเนื้อวัวแทน

(คนไม่กินเนื้อวัวอดราดเกรวี่นะครับ)

เลยดึงรสชาติออกมายังไม่เต็มที่เท่าไหร่

แต่ก็ชดเชยด้วยความนุ่มและไม่สาบ

หรือจะแตะมัสตาร์ดบาง ๆ เพิ่มก็อร่อยดี

ส่วนแฮมนั้นหวานนุ่มกลมกล่อม

ไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลย

 

 
มุม Cold cut มีแฮมชนิดต่าง ๆ

รวมไปถึง parma ham กินกับเมล่อน

และแซลมอนรมควัน อีกทั้งชีสนานาชนิด

และขนมปังแบบต่าง ๆ รวมชิ้นคานาเป้

แบบค็อกเทลกระจุ๋มกระจิ๋มอีกหลายอย่าง

รอให้เราได้เลือกหยิบมาทาน

 
มุมอาหารญี่ปุ่น มีซูชิและซาซิมิ

ปลาแซลมอน ปลาโอ กุ้ง ปลาหมึกยักษ์

ไข่หวาน ให้เลือกทานครบตามมาตรฐาน

แม้จะไม่พรีเมียม แต่ในเรทราคานี้

ก็ถือว่าครบครันใช้ได้ทั้งคุณภาพ

และรสชาติ

และสุดท้ายสำหรับของคาว

ก็คืออาหารไทยและอาหารปรุงสำเร็จ

ที่ทำรสชาติได้ค่อนข้างดี ส่วนตัว

ชอบเมนูซีฟู๊ดเทอมิดอร์ เป็นพิเศษครับ

ครีมข้น ๆ กับเนื้อหอยตลับและกุ้ง

 

 

 

 
ข้ามมาดูทางด้านของหวานกันบ้าง

จัดแต่งด้วยบ้านขนมปังและ

ประติมากรรมจากขนมปังให้ได้ยล

ก่อนที่จะเดินเลือกหยิบตักกลับไปทาน

ในไลน์มีขนมเค้กแบบต่าง ๆ

ขนมไทย ขนมฝรั่ง และช็อคโกแล็ต

ฟองดูว์ ที่มีมาร์ชแมลโลว ผลไม้ไว้จุ่ม

เครปและเบรดพุดดิ้ง รวมไปถึง

น้ำผลไม้ ชา กาแฟ น้ำเย็น ที่รวม

อยู่ใน buffet แล้วครับ

 

 
สนนราคา Weekend Brunch

Seafood BBQ Festival theme

ท่านละ 849++ หรือ 1,000 บาท net

หากต้องการดื่มเบียร์และไวน์ไม่อั้น

ท่านละ 1,349++ หรือ 1,588 บาท net

ส่วน Weekday นั้นไม่มี Seafood

ท่านละ 499++ หรือ 588 บาท net

ห้องอาหารเปิด 11:30 น. ปิด 14:30 น.

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

พร้อมสำรองที่นั่งได้ที่

โทร. 0-2160-7100 # 870

และ H7272-FB4@ACCOR.COM

สนใจชมภาพเพิ่มเติมได้ที่

facebook.com/ontcu/Seafood BBQ Festival Weekend Brunch@The Square Novotel Platinum

 
Table Wait Time: 0 minute(s)


วันที่ไปกิน: Nov 30, 2014 

ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿1,000(มื้อเที่ยง)

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 5  |  
Environment
 4  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 5

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0

Chikalicious Dessert Bar Bangkok ยิ้ม Nov 28, 2014   
Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : ร้านเค้กและเบเกอรี่ | อาหารว่าง | ลำลอง

 

 

 
ขนมหวานทานคู่กับไวน์และแอลกอฮอล์

กิมมิคของร้านนี้ที่ใครหลายคนไม่รู้

แต่ผมรู้ว่าทานคู่กันได้(มานานแล้ว)

เพียงแต่ต้องจับคู่กันให้ดีและลงตัว

ซึ่งร้าน #ChikaLicious นี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

ด้วยฝีมือ head chef & owner's partner

อย่างคุณหนามเตย

 
ซึ่งกว่าจะติดต่อขอนำร้านจากนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

มาเปิดที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ได้นั้น

ต้องฝ่าด่านอรหันต์จาก Chef Chika

ชาวญี่ปุ่น (แต่ไปเปิดร้านจนดังที่อเมริกา)

ให้ Chef Chika ยอมรับได้ ย่อมไม่ธรรมดาเลย

 

 

 
เรามาเริ่มต้นที่เครื่องดื่มกันก่อน

ที่ร้านมีให้เลือกทั้งชา กาแฟ และแอลกอฮอล์

วันนี้ขอเลือกเป็น Gold Moscato 160 บาท

ชาหอมองุ่นขาวผสมผงทอง

กลิ่นหอมขององุ่นขาว Moscato เบา ๆ

ได้ความรู้สึกหวานปนอบอุ่น ชุ่มคอ

เพื่อการเริ่มต้นก่อนทาน full course

 

 
จุดเด่นของร้าน Chikalicious นั้น

อยู่ที่การจัดอาหารหวาน/ของหวาน

มาเป็น full course 3 อย่าง 400 บาท

เริ่มต้นจาก Amuse จานเรียกน้ำย่อย

ที่รังสรรค์ผลัดเปลี่ยนให้ได้ลิ้มลองโดยเชฟ

เมนูนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

ซึ่งวันนี้เป็น Caramel Soup & Coconut Icecream

กลิ่นหอมเป็นจุดเด่นตามมาด้วยความเย็น

สัมผัสเนียนนุ่ม มันและหวานเล็กน้อย

ตามมาเป็นลำดับ เป็นสตาร์ทเตอร์

ที่ให้ความสดชื่นกระตุ้นให้ตื่นตัว

พร้อมจะทานจานต่อไป

 

 
Main Course มีให้เลือก 1 จาก 5 อย่าง

แล้วแต่ความชอบ ซึ่งตัวจานหลักนี้

สามารถ pairing/จับคู่ กับไวน์/วิสกี้/

สปาร์คกิ้ง ที่เชฟแนะนำ หรือเราจะเลือก

ตามชอบก็ได้สุดแล้วแต่(เพิ่มราคาจากคอร์ส)

ซึ่งผมเลือก Warm Chocolate Tart

with Pink Pepper Corn Icecream and

Red Wine Sauce ทาร์ตช็อคโกแล็ตอุ่น ๆ

กึ่งเหลวเมื่อตัดชิ้นทาร์ต ทานพร้อมกับ

ไอศกรีมรสพริกไทยจาง ๆ และซอส

ไวน์แดง รสชาติกลมกล่อมลงตัว

ความอุ่นหวานบวกความหอมเย็น

และความเปรี้ยวของทั้ง 3 อย่าง

ควบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ผสานกันอย่างไม่อยากจะหาที่ติจริง ๆ

 

 

 

 
และจานนี้สามารถทานคู่กับไวน์แดงหวาน

Osborne Tawny Port 189 บาท

พอร์ทไวน์หวาน รสเข้มข้น

เพื่อเสริมกระชับรส

 

 
แต่ส่วนตัวไม่ถนัดไวน์หวาน

เชฟจึงแนะนำ Chivas Regal 18 Years 280 บาท

ให้ทานคู่กัน ซึ่งได้ความนุ่มละมุนลิ้น

กับความอุ่นของวิสกี้ ก็ลงตัวเป็นอย่างดี

(ถ้าทานคู่รอยัลซาลูทจะเป็นไงหว่า อิอิ)

 

 
จากนั้นตบท้ายคอร์สด้วย Petits Fours

ขนมหวานพอดีคำ ที่เป็นอีกคอร์สที่เชฟ

จัดการเลือกมาให้และจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

วันนี้ได้มาเป็น Coconut Mashmellow+

Banana Rum Cake with Peanut Butter Cream+

Double Chocolate Short Bread

ทริคคือ กินจากสีอ่อนไปยังสีเข้ม

เพื่อตามสเต็ปของความเข้มข้นและ

อ่อนนุ่มของขนมปิดท้าย ทำให้การทาน

ขนมหวานเป็นเรื่องสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ซึ่งแต่ละอย่างก็มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์

ต่างกันไป ไม่ซ้ำกันอีกด้วย

 

 

 

 
ตบท้ายด้วย Hot Latte 120 บาท

ซึ่งลองขอให้ทำ Latte art ทางร้านก็พอทำได้

แม้จะไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่

เมล็ดกาแฟใช้พันธุ์อราบิก้า 100%

ยี่ห้อ alto ซึ่งหอมดีและไม่เปรี้ยว

ลงตัวกับนมดีทีเดียวครับ

 
และปิดท้ายกับ workshop ดี ๆ

ของ #Openriceparty29 จาก

#OpenriceThailand และทีมงานทุกคน

ที่ให้สมาชิก #Openricer #Opensnap

ผู้โชคดี ได้ร่วมสนุกกับการแต่งหน้า

วาดจินตนาการตนเองลงบน

Dough'Ssant 95 บาท

ขนมลูกผสมที่ลงตัวระหว่าง

โดนัทและครัวซองต์ ของขึ้นชื่ออีกอย่าง

ของทางร้านครับ เลือกเป็น Nutella flavor

แต่งหน้ากลับมาฝากน้องอันนา

ลูกสาวแสนซนอีก 1 ชิ้นด้วยครับ

 

 

 
ร้าน Chikalicious อยู่ชั้น 5

Central Embassy เป็นสวรรค์สำหรับคนที่ชื่นชอบของหวานเลยครับ

สามารถไปลิ้มรสการจับคู่

และพูดคุยกับเชฟได้อย่างเป็นกันเอง

เพื่อเพิ่มประสบการณ์การทานของหวาน

ที่ไม่ซ้ำซากจำเจได้อย่างดีครับ

เพราะเรา ๆ คงคุ้นเคยแต่ทานของหวาน

ตบท้ายมื้ออาหารคาว

ที่นี่จะทำให้ได้รับรู้รสชาติอาหารหวาน

แบบเต็ม ๆ กันไปเลย

สามารถติดตามข่าวสารทางร้านได้หลากหลายช่องทางที่

www.chikalicious.asia

https://www.facebook.com/ChikaLiciousAsia

 
 
เมนูแนะนำ:  Gold Moscato,Warm Chocolate Tart with Pink Pepper Corn Icecream and Red Wine Sauce,Osborne Tawny Port,Chivas Regal 18 Years,Dough'Ssant
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


วันที่ไปกิน: Nov 27, 2014 

ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿700(อาหารว่าง)

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 5  |  
Environment
 4  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 5

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0

Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : อาหารฝรั่งเศส | ร้านในโรงแรม รีสอร์ต | โอกาสพิเศษ

SCARLETT WINE BAR & RESTAURANT

2 Michelin Star Inspired Menu, over 150 Fine wines, imported cheese & cold cuts,
daily specials and an amazing view over Bangkok skyline
เชฟระดับ 2 ดาว มิชลิน ให้กำเนิดแรงบันดาลใจเมนูอาหารแสนอร่อย ควบคู่กับไวน์กว่า 150 ชนิด
ควบคู่กับชีสและของทานแกล้มนำเข้า เมนูพิเศษประจำวัน เคล้าบรรยากาศ วิวเส้นขอบฟ้าแบบ
พาโนรามาของมหานครเมืองหลวง กรุงเทพ ณ ถนนสีลม

ไวน์บาร์และห้องอาหารสการ์เล็ต สไตล์บิสโทร ที่มีต้นกำเนิดที่ โฮเต็ล จี กรุงปักกิ่ง เป็นส่วนหนึ่ง
ของโรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี บนชั้น 37 พร้อมระเบียงกว้างเปิดโล่งที่สามารถนั่งชมทัศนียภาพ
แบบพาโนรามาอันงดงาม ของกรุงเทพมหานคร ที่นี่ถือเป็นสถานที่สังสรรค์แห่งใหม่สำหรับ
นักบริหารรุ่นใหม่ เสิร์ฟไวน์, ชีส, โคลด์ คัท, และทาปาส พร้อมทั้งเมนูที่รังสรรค์โดยมานูเอล มาติเน่ซ์
เชฟระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาว แห่งภัตตาคาร “เลอ คลอเร หลุยส์ที่ 13” ในกรุงปารีส

Scarlett wine bar & Restaurant เป็นร้านไวน์และอาหารนานาชาติในราคาที่จับต้องได้
สำหรับเป็นจุดนัดพบคนรักความสนุกสนานและผ่อนคลาย ด้วยขนาดพื้นที่ของร้านกว่า 400 ตารางเมตร
สามารถรองรับลูกค้าได้ 160 ที่ และอีก 40 ที่ ณ ระเบียงร้านอันแสนสวยงามซึ่งสามารถดื่มด่ำ
กับไวน์และอาหารไป ชื่นชมกับทรรศนียภาพของมุมสูงใจกลางกรุงเทพมหานคร สำหรับที่นั่งนั้น
มีทั้งบาร์เครื่องดื่ม โต๊ะไม้ หรือแม้กระทั่งโซฟาหนัง ให้เลือกนั่งได้ตามสไตล์ของคุณ
และทุกสุดสัปดาห์จะมี DJ สลับเปลี่ยนหมุนเวียนมาเปิดแผ่นเจ๋ง ๆ ให้ได้ฟังกัน เสริมกับบรรยากาศ
ที่ดีอย่างเหลือเชื่อ รวมทั้งกิจกรรมในทุก ๆ เดือน

ด้านอาหารแสนอร่อย ถูกทำอย่างพิถีพิถันในทุก ๆ เมนูที่สร้างสรรค์มาจากฝีมือของ
เชฟที่ปรึกษาเชฟมานูเอล มาร์ติเน่ซ์ (CHEF MANUEL MARTINEZ ) เจ้าของภัตตาคารเลอ
คลอเลส์ หลุยส์ที่ 13 ในกรุงปารีส กับฉายาคัมภีร์อาหารฝรั่งเศสระดับสูง ซึ่งเชฟมานูเอล
จะถนัดในเมนู กุ้งมังกร(ล็อบสเตอร์) ฟัวการส์ สแกลล็อป(หอยเชลล์) และเห็ดทรัฟเฟิลมาปรุง
อาหารคาว ส่วนของหวานนั้นเห็นทีจะไม่พ้น millefeuille (มิลเฟอร์ล) กับซอสเบอเบิ้นวนิลา
ความอร่อยนี้ มีดาวมิชลิน 2 ดวงเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี

และในโอกาสอันดีนี้ต้องขอขอบคุณ openrice thailand และคุณเมย์ (เมลนีย์)
pr คนสวยแห่ง Pullman Hotel G Bangkok ที่เชิญชวนมาชิมด้วยครับ

สำหรับเมนูเด็ดที่จะมาแนะนำกันในวันนี้ ประกอบไปด้วย 6เมนูของคาว คือ

1. sardines en Boite (Spanish imported sardines, toast and salted butter) 410.-
ปลาซาร์ดีนนำเข้าจากสเปนรสเลิศ ชนิดที่ไม่คิดว่าปลาซาร์ดีนจะอร่อยได้ขนาดนี้
ทานคู่กับขนมปังทาเนยเค็ม โดยนำขนมปังทาเนยแล้ววางชิ้นปลาซาร์ดีนเมนูนี้แกล้มกับไวน์ขาว
ที่มีกลิ่นหอม ของผลฝรั่งได้กลมกล่อมทีเดียว เป็นจานเริ่มแรกของเมนูเด็ดที่น่าประทับใจครับ

2. 'Oeuf poche en Meurette (Egg poached in Pinot Noir) 360.-
ไข่ลวกในอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสด้วยเวลา 1 ชั่วโมง ในซอสไวน์แดงพิน็อตนัวร์
กลมกลืนด้วยไข่ลวกที่ทำมาได้สวยและไม่มีที่ติด ด้วยไข่ลวกที่ใช้เวลา 1 ชั่วโมงด้วย
อุณหภูมิ 60 องศา เป็นอะไรที่ทำให้คนทำอาหารไม่บ่อยอย่างผมประหลาดใจ
เพราะไข่แดงก็เป็นไข่ลวกที่ไม่คาว ไข่ขาวก็เป็นวุ้น ๆ ไม่สุก
เสริฟมาบนซอสไวน์แดงกลมกล่อมพร้อมวางด้วยแพนเชตต้าแฮม (แฮมแห้งรสเลิศ)
ทานเข้ากันมากด้วยไข่ที่นุ่มนวลกับซอสที่เข้มข้น คอนทราสต์กันแบบลงตัวครับเมนูนี้

3. Saint-Jacques d'Hokkaido (Grilled Scallops, truffle dressing) 550.-
แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า หอยเชลล์ฮอกไกโดตัวใหญ่อวบอ้วนย่างพอสุกราดซอสเห็ดทรัฟเฟิล
เป็นอีกเมนูที่บ่งบอกได้อย่างดีว่า อาหารของเชฟมานูเอลนั้นเยี่ยมยอดขนาดไหน
ด้วยการย่างหอยเชลล์ได้สุกแบบผิว ๆ แต่ล้ำเลิศในเท็กซ์เจอร์ที่สัมผัสไปในแต่ละครั้งที่เคี้ยว
ผนวกกับซอสเห็นทรัพเฟิลที่อร่อยมาก ๆ แม้จะทานซอสเปล่า ๆ ก็ยังอร่อย นำมากระชับรสชาติ
ของหอยเชลล์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ ไม่พลาดที่เมนูนี้ต้องจิบไวน์ขาวเย็น ๆ ตามด้วยครับ

4. Quenell de brochet gratinee (River Pike fish dumpling, Chadonnay sauce) 760.-
ภาษาไทยจะเรียกว่าอะไรดีครับ น่าจะลูกชิ้นปลาไพค์ล่ะนะ 555 แต่ลูกชิ้นปลาไพค์นี้พิเศษตรงที่ว่า
เนื้อปลาไพค์จากแม่น้ำอันเย็นเฉียบ นำมาทำลูกชิ้นได้อารมณ์เหมือนไข่ตุ๋นครับ เนื้อเนียน เบา
ราดซอสไวน์ขาวที่ผสมกับครีมสด แล้วอบไฟบนอีกที เพื่อให้หน้าเกรียมสวยงามน่าทาน
ทานแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และแถมยังมีการทำให้ประหลาดใจด้วยชั้นซอสที่ก้นชามด้วย
เห็ดสับละเอียดไว้ตัด รสอีกชั้นกันอีกด้วย ก็เหมาะทานกับไวน์ขาวอย่างยิ่งยวดอีก 1 เมนูครับ

5. Cote d'agneau rotie au beurre pomme fondante
(Roasted rack of lamb, butter braised potatoes) 990.-
เมนูนี้เป็นการนำซี่โครงแกะมาย่างด้วยไฟกำลังพอดีและเนื้อหัวไหล่แกะตุ๋น นุ่ม ๆ วางซ้อนกัน
ราดซอสสูตรเฉพาะ เสริฟพร้อมกับมันก้อนรสเนย เป็นอีกเมนูที่เหมาะสำหรับคนไม่ทานเนื้อครับ
เนื้อแกะไม่มีกลิ่นเหม็นสาปแต่มีกลิ่นหอมเฉพาะของแกะและเครื่องเทศที่เข้า กันอย่างดี
เนื้อแกะทั้ง 2 แบบนั้นได้รสสัมผัสที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทานเดี่ยว ๆ ก็อร่อย
แต่ถ้าทานคู่กันยิ่งอร่อยขึ้นครับ เหมาะเป็นอาหารจานหลักทานคู่กับไวน์แดงเยี่ยม ๆ
อีก 1 จานเลยครับ

6. Combinaison de Filet et de joue boeuf
(Pan seared beef tenderloin, 12 hours braised beef cheek) 1,200.-
จานเด็ดจานสุดท้ายของอาหารคาวที่เชฟมานูเอล นำเสนอในวันนี้ เป็นจานสำหรับคนรักเนื้อ
มีทเลิฟเวอร์อย่างผมมาก ๆ ด้วยเนื้อวากิวจากออสเตรเลียชั้นยอดอันแสนนุ่มถึง 2 ส่วน
โดยส่วนสันในนั้นนำมาทำให้สุกด้วยการผ่านความร้อนกับกระทะแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ วางซ้อนกัน
กับเนื้อส่วนแก้มวัวตุ๋นนาน 12 ชั่วโมง แต่วันนี้พิเศษกว่าตรงที่เชฟมานูเอล ตุ๋นนานกว่าเดิมเป็น
16 ชั่วโมง ทำให้เนื้อแก้มที่นุ่มยิ่งนุ่มละลายในปากมากกว่าเดิม ส่วนสันในนั้นก็นุ่มด้วยตัวเอง
อย่างไม่แพ้กันเลย เพียงแต่รสสัมผัสของทั้ง 2 ส่วนที่แตกต่างกันนั้น
ทำให้ผมเพลิดเพลินกับการทานเมนูนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเชฟมานูเอลได้บอกเคล็ดลับ
ในการทานเมนูนี้ คือการนำทั้ง 2 ส่วนที่แตกต่างกันนั้น เคี้ยวพร้อมกัน ยิ่งทำให้ความสนุกสนาน
ในการทานเมนูนี้นั้นมีอย่างไม่รู้จบเลยทีเดียว แนะนำครับให้ทานเมนูนี้คู่กับไวน์แดงที่มีบอดี้เยอะ ๆ
จะเข้ากันมากครับ

ด้านของหวานนั้น คุณเมย์ ได้รีเควสให้เชฟมานูเอล จัดมาถึง 5 เมนูด้วยกันเลยครับ

1. Grand Marnier 'Souffle' 250.-
ซูเฟล่เนื้อเนียนนุ่ม หอมไข่และครีม อบมาฟู ๆ และโรยด้วยไอซ์ซิ่ง เมนุนี้ไม่หวานและไม่จืดไป
กำลังเหมาะสำหรับสาว ๆ และทานคู่กับไวน์หวาน หรือค็อกเทลนุ่ม ๆ เข้ากั๊นเข้ากันครับ

2. Granny Smith Apple Tart 250.-
แอปเปิ้ลทาร์ตแป้งกรอบบางกับแอปเปิ้ลฝานแผ่ไปทั่วแผ่นแป้งทาร์ต ราดไซรัป
เสริฟพร้อมกับไอศกรีมวนิลา เป็นเมนูที่มีมาทั้งความ หอม หวาน กรอบ อร่อย
ประสานกับความเย็นของไอศกรีมวนิลาได้อย่างลงตัว

3. Rum Baba 250.-
เมนูแสนสนุกซุกซน กับความน่ารักของรูปลักษณ์ของตัวขนมปังที่ชุ่มในโถแก้วที่เต็มไปด้วยเหล้ารัม !!!
คุณอ่านไม่ผิดครับ ของหวานจานนี้ ทำให้หลายคนลืมไวน์และแอลกอฮอล์ต่าง ๆ ที่ได้ลิ้มรสมา
เหมาะสำหรับปลุกสติสัมปชัญญะให้ตื่น หรือไม่ก็ทำให้คุณน็อคสลบคาโต๊ะได้เฉกเช่นเดียวกัน
ขนมปังที่ชุ่มฉ่ำเหล้ารัมนั้น หวานต้นมีติดขมปลายนิด ๆ เสริฟแบบเย็น ๆ เป็นอีกอย่างที่ทำให้ชื่นใจได้
แทนที่จะดื่มแล้วเมา จะกลายเป็นว่าทานขนมแล้วเมาด้วยเมนูนี้ก็เป็นได้ครับ

4. Mille Feulle 'Grands Augustins' 250.-
มิลเฟอร์ลกรอบ ๆ บาง ๆ สอดไส้ครีม ราดด้วยเบอร์เบิ้นวนิลา อีก 1 ของหวานที่ผสม
แอลกอฮอล์ลงไป แต่เบาบางให้กลิ่นหอมของวนิลาและเบอร์เบิ้น เป็นอีกเมนูที่เชฟมานูเอล
ทำได้อย่างอร่อยและลงตัว สวยงาม สมกับที่เป็นเมนูของหวานที่เชฟมานูเอลถนัดครับ
เมนุนี้ สาว ๆ และหนุ่ม ๆ หลายคนน่าจะชอบและหลงรักได้ไม่ยากเลยครับ

5. Chocolate Fondant 280.-
ช็อกโกแล็ตลาวา กับไอศกรีมวนิลา เค้กช็อกโกแล็ต ไส้ช็อกโกแล็ตเหลว เมื่อผ่าเค้กแล้ว
ตัวช็อกโกแล็ตเหลวจะไหลเยิ้มออกมา ทำให้คนทานได้สนุกสนานกับการมอง เหมือนกับ
ลาวาไหลออกจากภูเขาไฟยังไงยังงั้น ช็อคโกแล็ตรสเข้มข้น เบรครสชาติด้วยไอศกรีมวนิลาเบา ๆ
ทำให้ของหวานเมนูนี้อร่อยมากยิ่งขึ้นครับ

ทั้งหมดเป็นเมนูที่เชฟมานูเอล บรรจงสรรค์สร้างออกมาให้ได้ลิ้มชิมรสชาติของฝีมือเชฟมิชลิน
2 ดาว ทุกเมนูล้วนแล้วแต่สร้างความประทับใจและเพิ่มเติมจินตนการในการทำ
และทานอาหารของผมขึ้นอีกมากเลยล่ะครับ

ประกอบกับบรรยากาศของร้าน ที่สวยงาม ไวน์รสดี ดนตรีเพราะ วิวพาโนรามา น่าจะทำให้
ร้าน Scarlett wine bar and Restaurant แห่งนี้ เป็นที่ติดอกติดใจสำหรับหนุ่มสาวทุกวัย
ได้อย่างไม่ยากเลยล่ะครับ

ท้ายนี้ผมได้แนบรายละเอียดห้องอาหารแบบเป็นทางการมาให้ด้วยครับ

ที่ตั้ง : ชั้น 37 โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี

เวลาเปิดบริการ : ทุกวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่ 18.00 - 01.00 น. (ปิดวันอาทิตย์)

ผู้ออกแบบ และ ผู้สร้างสรรค์ : บริษัท พี 49 ดีไซน์แอนด์แอสโซซิเอท จำกัด
(P49 Design & Associates Co.,Ltd.) และ จีซีพี ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (GCP Hospitality)

ดี ไซน์คอนเซ็ปต์ : ในแบบโวค (VOGUE) และนิวยอร์ค สไตล์ บนพื้นที่รวมกว่า
400 ตารางเมตร สามารถรองรับแขกได้ 160 ท่าน รวมทั้งส่วนในห้องปรับอากาศและ
ส่วนระเบียงกว้างเปิดโล่งสำหรับ 40 ท่าน สามารถชื่นชมทัศนียภาพสุดกว้างไกลแบบ
พาโนรามาใจกลางกรุงเทพ
ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เลือกที่นั่งได้หลากอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น นั่งตามแนวบาร์เครื่องดื่ม
หรือโต๊ะไม้ทรงสูง หรือเล้าจน์ที่มีโซฟาหนังหรือแบบวินเทจ มีครัวเปิดโชว์การปรุงอาหาร
ตู้เก็บแสดงไวน์ รวมถึงห้องส่วนตัว ที่รองรับได้ 15 ที่นั่ง

เอ็กเซ็คคิวทีฟเชฟ : มร. ซีลวา ควอเย่ – ชาวฝรั่งเศส

เชฟที่ปรึกษา : มร.มานูเอล มาร์ติเน่ซ์ (เชฟมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว)

เชฟเจ้าของ ภัตตาคารเลอ คลอเลส์ หลุยส์ที่ 13 ในกรุงปารีส

เมนู อาหาร : เนยแข็งนำเข้าจากต่างประเทศ อาหารเนื้อตัดเย็น หรือ“โคลด์คัท”
ทาปาสแบบร้อนและเย็น อาหารยุโรปรสเลิศต้นตำรับโดยเชฟมานูเอล มาร์ติเน่ซ์ เชฟมิชลินสตาร์
ระดับ 2 ดาว ชาวฝรั่งเศส และยังมีอาหารทะเลให้เลือก เพื่อแสดงการปรุงให้เห็นกันสดๆ ในครัวเปิด
ด้วยลีลาเชฟมือฉมัง

ไวน์ และ เครื่องดื่ม : - ไวน์มากกว่า 150 ชนิด

- ไวน์เสิร์ฟเป็นแก้ว 10 ชนิด ซึ่งจะหมุนเวียน ทุกสัปดาห์

- เครื่องดื่มมาตรฐาน และ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ระดับพรีเมี่ยม

- โฮมเมดค็อกเทล 20 ชนิด อาทิ “Pandanus Aqueduct – ธาราหอมเตย”

“Sparkle and Fade – ประกายไฟสลาย” ฯลฯ

ปาร์ตี้และความบันเทิง: - เพลงจังหวะ ดีพเฮาส์ และ เลาจน์มิวสิค

- ดีเจ ทุกวันศุกร์-เสาร์

- ธีมปาร์ตี้ “จี-เซสชั่น G-Session” ทุกวันเสาร์แรกของเดือน

รับบัตรเครดิต : อเมริกัน เอ็กซ์เพรส, มาสเตอร์การ์ด, วีซ่า, ไดเนอร์คลับ

บัตรสมาชิก : รับเฉพาะบัตรสมาชิก สการ์เล็ต

ส่วนลด 10% ค่าอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นไวน์) สำหรับบัตรแอดแวนเทจ พลัส

ที่ จอดรถ : โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี ติดต่อสอบถาม
และสำรองที่โต๊ะ : โทร. 0 2238 1991 หรืออีเมล์ H316-FB2@accor.com
เฟซบุ๊ค : www.facebook.com/ScarlettWineBarBangkok
Scarlett wine bar & Restaurant

Scarlett wine bar & Restaurant

 
วิวสวยงามจากชั้น 37

วิวสวยงามจากชั้น 37

 
ที่นั่งและการตกแต่งร้านสวยงาม

ที่นั่งและการตกแต่งร้านสวยงาม

 
'Oeuf poche en Meurette (Egg poached in Pinot Noir) 360.-+ sardines en Boite (Spanish imported sardines, toast and salted butter) 410.-

'Oeuf poche en Meurette (Egg poached in Pinot Noir) 360.-+ sardines en Boite (Spanish imported sardines, toast and salted butter) 410.-

 
Saint-Jacques d'Hokkaido (Grilled Scallops, truffle dressing) 550.-

Saint-Jacques d'Hokkaido (Grilled Scallops, truffle dressing) 550.-

 
Cote d'agneau rotie au beurre pomme fondante(Roasted rack of lamb, butter braised potatoes) 990.-

Cote d'agneau rotie au beurre pomme fondante(Roasted rack of lamb, butter braised potatoes) 990.-

 
เชฟมานูเอล มาติเนซ์ โชว์จานเด็ดCombinaison de Filet et de joue boeuf(Pan seared beef tenderloin, 12 hours braised beef cheek) 1,200.-

เชฟมานูเอล มาติเนซ์ โชว์จานเด็ดCombinaison de Filet et de joue boeuf(Pan seared beef tenderloin, 12 hours braised beef cheek) 1,200.-

 
รวมพลของหวาน 1. Grand Marnier 'Souffle' 250.-+ 2. Granny Smith Apple Tart 250.-+ 3. Rum Baba 250.-+ 4. Mille Feulle 'Grands Augustins' 250.-+ 5. Chocolate Fondant 280.-

รวมพลของหวาน 1. Grand Marnier 'Souffle' 250.-+ 2. Granny Smith Apple Tart 250.-+ 3. Rum Baba 250.-+ 4. Mille Feulle 'Grands Augustins' 250.-+ 5. Chocolate Fondant 280.-

 
 
เมนูแนะนำ:  sardines en Boite (Spanish imported sardines,toast and salted butter),'Oeuf poche en Meurette (Egg poached in Pinot Noir),Saint-Jacques d'Hokkaido (Grilled Scallops,truffle dressing),Quenell de brochet gratinee (River Pike fish dumpling,Chadonnay sauce),Cote d'agneau rotie au beurre pomme fondante (Roasted rack of lamb,butter braised potatoes),Combinaison de Filet et de joue boeuf (Pan seared beef tenderloin,12 hours braised beef cheek),Grand Marnier 'Souffle',Granny Smith Apple Tart,Rum Baba,Mille Feulle 'Grands Augustins',Chocolate Fondant
 
วันที่ไปกิน: Apr 26, 2012 

ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿1,500(มื้อเย็น)

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 5  |  
Environment
 5  |  
Service
 5  |  
Clean
 5  |  
Price
 4

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
   1 Vote(s)   View Results
แนะนำ
0

Al Tara with AEC Menu ยิ้ม Feb 02, 2016   
Share on TwitterShare on Facebook
ประเภท : อาหารนานาชาติ | ร้านในโรงแรม รีสอร์ต | จัดเลี้ยงเป็นกลุ่ม | โอกาสพิเศษ

 
รีวิวนี้ จะพาไปเปิดประสบการณ์กับอาหารอาเซี่ยน ต้อนรับ AEC

รวมอาหาร 10 ประเทศในกลุ่ม AEC กันครับ

อาหารมากันแบบครบครันทั้ง 10 ประเทศในที่เดียวกัน

หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยครับ แต่หาได้ที่นี่เลย

ณ ห้องอาหาร Al Tara โรงแรมเจ้าพระยาคปาร์ค รัชดา

 
ห้องอาหาร อัล ธารา Al Tara เป็นห้องอาหารไทยสไตล์ฮาลาลแท้ ๆ

คือวัตถุดิบที่ได้มาต้องมาอย่างถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม

ตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นตอนปรุงเสร็จมาเสิร์ฟเลยครับ

 
เรามาดูบรรยากาศกันเล็กน้อยก่อนจะพาไปเข้าสู่เมนูอาหาร AEC แสนอร่อยกัน

 
การันตีความอร่อยจากรางวัลหลายสถาบันเลย

 

 

 

 
ภายในตกแต่งหรูหรา เพราะต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอยู่บ่อย ๆ

ด้วยศิลปะแนวอาหรับ พร้อมกับกลิ่นเครื่องเทศที่หอมอบอวล

ทำให้ชวนนั่งกินอาหารอย่างเอร็ออร่อยมากยิ่งขึ้น

ภายในห้องอาหารสามารถรองรับลูกค้าได้ 40 ท่าน

 

 
และยังมีห้องทำพิธีละมาดเป็ดสัดส่วนให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการได้อย่างสะดวกอีกด้วย

 

 

 
อาหาร AEC ในวันนี้นั้น ได้เชฟฝีมือดี ฝีมือตำหรับชาววัง

อย่าง เชฟบัว-ปัทมา โชคลาภผล เชฟใหญ่ของห้องอาหาร

ที่มีประสบการณ์ด้านอาหารไทยมายาวนานกว่า 20 ปี

เป็นเครื่องการันตีความอร่อยในอาหารไทยตำหรับชาววัง

ส่วนในอาหารประเทศเพื่อนบ้านนั้น เชฟได้ศึกษาถึงแก่น

ของอาหารในแต่ละประเทศ แล้วนำแก่นนั้นมาประยุกต์

รสชาติให้มีเค้ารากของพื้นฐานอาหาร แต่ปรับรสชาติ

ให้เข้ากับปากคนไทยและชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น

บางอย่างดูว่ากินยาก แต่พอกินแล้วกลับได้รสชาติที่อร่อย

และกลมกล่อมโดยยังคงความเป็นประเทศนั้น ๆ อยู่อีกด้วยครับ

 

 

 
1.อาหารไทย

ผัดไทยทะเลกุ้งแม่น้ำ 280 บาท net

ผัดไทยทะเลรสชาติดีงามมาก มากับกุ้งแม่น้ำทอดน้ำมันเบา

กินแล้วเข้ากัน กับผักต่าง ๆ บีบมะนาวลงไปนิด สะกิดรสให้ระเบิดออกมา

อร่อย ๆ มาก ๆ สมแล้วที่เชฟบัว คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารไทยมายาวนาน

 

 
2.อาหารเวียดนาม

เปาะเปี๊ยะสดเวียดนาม 150 บาท net

แผ่นแป้งบาง ๆ ห่อด้วยผักนานาชนิดและกุ้งสด

กินกับน้ำจิ้มในผอบและผักกาดหอม อร่อยเข้ากันได้ดี

 

 
3.อาหารลาว

แกงหน่อไม้ 150 บาท net

รสชาติแซ่บ นัว หอมปลาร้าและเครื่องเคราต่าง ๆ

ผักก็จัดมาเต็ม กินแล้วสุขภาพดีแน่นอนครับ

 

 
4.อาหารกัมพูชา

ยำเขมร 150 บาท net

ผักหลาย ๆ ชนิดมาพร้อมกับกุ้งสด และน้ำยำที่แยกมา

เป็นส่วนประกอบที่ต้องผสมให้ลงตัวพอดี ๆ มีรสชาติที่เปรี้ยวซ่า ๆ

ชวนให้กินแล้วหยุดไม่ได้ครับ

 

 
5.อาหารเมียนมาร์

ฮังแลมาล์ล 300 บาท net

รสชาติคล้ายแกงฮังเลทางภาคเหนือของไทยเรา

แต่โดดเด่นด้วยกระเทียมดองที่หวานหอม

ส่วนเนื้อวัวส่วนสันนอกก็เปื่อยยุ่ยกำลังดี กินกับข้าวอร่อยมาก

 

 
6.อาหารอินโดนีเซีย

ข้าวผัดอินโดนีเซีย 250 บาท net

ข้าวผัดปรุงรสสไตล์อินโดนีเซีย มาพร้อมกุ้งทอด ไก่ทอด

สะเต๊ะไก่ ไข่ดาว ข้าวเกรียบและน้ำพริกเผา เป็นคู่แข่ง

ข้าวผัดอเมริกันที่น่ากลัวเลยทีเดียวครับ เพราะว่ารสชาติจัดจ้านกว่า

คนไทยน่าจะชอบและกินอร่อยกว่าด้วยซ้ำครับ

 

 
7.อาหารบรูไน

ซุปหางวัว 250 บาท net

เมนูนี้ สุดยอดความอร่อย เพราะหางวัวนุ่มละลายในปาก

ด้วยการตุ๋นกับเครื่องเทศนาน 24 ชั่วโมงถึง 3 น้ำ

น้ำซุปกลมกล่อมครบรสชาติ ซดได้ไม่หยุดเลยครับ อร่อยมาก

 

 
8.อาหารฟิลิปปินส์

อโดโบ้ซี่โครงแกะ 280 บาท net

ซี่โครงแกะหมักเครื่องเทศย่างด้วยกระทะแบน

กลิ่นสาปแทบไม่มี เพราะได้เครื่องเทศชั้นดีเข้ามากลบ

เนื้อแกะนุ่มดี แถมราคาไม่แรงด้วยครับ ออเดอร์นี้ต้องรีบสั่ง

เพราะวัตถุดิบหมดไว ขายดีมากอีก 1 เมนู

 
9.อาหารมาเลเซีย

มัสมั่นแพะ 250 บาท net

เนื้อแพะนุ่ม ๆ ในแกงแดง รสชาตินุ่มนวลไม่รุนแรงอย่างสีที่เห็น

กินแกล้มกับครัวซองต์หอม ๆ มัน ๆ อร่อย หรือกินกับข้าวร้อน ๆ ก็เข้ากันดี

 

 

 
10.อาหารสิงคโปร์

ก๋วยเตี๋ยวลักซา 350 บาท net

ก๋วยเตี๋ยวประจำชาติสิงคโปร์ แต่เชฟบัวจัดเต็มกับเครื่องที่ใส่ลงไป

ไม่ว่าจะเป็น หอยเชลล์ตัวใหญ่ กุ้งแม่น้ำตัวโต หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ไซซ์บิ๊ก

ปลาหมึก เต้าหู้และไข่ต้ม ครบเครื่องจริง ๆ เส้นบะหมี่ละม้ายคล้ายเส้นบะหมี่กรอบ

ราดด้วยน้ำแกงรสชาติเข้มข้น เป็นอีกเมนูที่โดดเด่นมากครับ

 

 

 
นอกเหนือจากอาหาร AEC ก็ยังได้ลอง โรตีแกงเนื้อ พริกขี้หนู

กลิ่นเครื่องแกงหอมและร้อนแรง เนื้อที่ได้ลองกระด้างไปนิด

แต่ได้รสแกงและโรตีที่อร่อยเข้ากันมาช่วยได้ความอร่อยกลับคืนมา

 

 
สุดท้ายกับต้มยำกุ้งแม่น้ำน้ำข้น อาหารประจำชาติไทยอีกเมนู

ที่เชฟทำออกมาได้อย่างถึงรส สุดฤทธิ์สุดเดช กุ้งแม่น้ำก็ตัวใหญ่

เนื้อแน่น มันเต็มหัวกุ้งกันเลย

สำหรับใครที่มองหาอยากลองอาหารเพื่อนบ้านรสชาติอร่อย ๆ

ถูกปากคนไทย รสชาติตำหรับ ชาววังจากเชฟอาหารไทย

ประสบการณ์สูงกว่า 20 ปี กับห้องอาหาร Al Tara

โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค รัชดา

ได้ลิ้มลองอาหารเพื่อนบ้านรสชาติต้นตำหรับแต่ปรับให้ถูกปาก

คนไทยและต่างชาติ รวมถึงเพื่อนบ้านเจ้าของอาหาร

ได้อย่างไม่อายเลยล่ะครับ

ห้องอาหาร Al Tara เปิดให้บริการทุกวัน

มื้อกลางวัน เวลา 11:30-14:30 น.

มื้อค่ำ เวลา 18:00-22:30 น.

สนใจสำรองที่นั่ง ติดตามข่าวสาร สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

โทร. 0-2290-0125, 080-159-7537

www.chaophyapark.com

e-mail : pr@chaophyapark.com

ขอให้ดื่มด่ำความอร่อยอาหารไทยและเพื่อนบ้านชาว AEC กันนะครับ

Supplementary Information:
อาหารเพื่อนบ้านรสชาติอร่อย ๆ

ถูกปากคนไทย รสชาติตำหรับ ชาววังจากเชฟอาหารไทย

ประสบการณ์สูงกว่า 20 ปี
 
เมนูแนะนำ:  ผัดไทยทะเลกุ้งแม่น้ำ,เปาะเปี๊ยะสดเวียดนาม,แกงหน่อไม้,ยำเขมร,ฮังแลมาล์ล,ข้าวผัดอินโดนีเซีย,ซุปหางวัว,อโดโบ้ซี่โครงแกะ,มัสมั่นแพะ,ก๋วยเตี๋ยวลักซา,ต้มยำกุ้งแม่น้ำน้ำข้น,โรตีแกงเนื้อ พริกขี้หนู
 
Table Wait Time: 0 minute(s)


วันที่ไปกิน: Dec 01, 2015 

ราคาเฉลี่ยต่อคน: โดยประมาณ฿500(มื้อเย็น)

คะแนนด้านอื่นๆ:
Taste
 5  |  
Environment
 4  |  
Service
 4  |  
Clean
 5  |  
Price
 5

  • Keep it up!

  • Looking Forward

  • เห็นแล้วหิว

  • ประทับจิต

  • Envy

  • Cool Photo
      View Results
แนะนำ
0