นักรีวิวร้านอาหาร

เวลาไปเที่ยวทะเล แน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึงอาหารทะเลสดๆ  และร้านริมทะเลบรรยากาศดี  แต่จะให้ทานอาหารทะเลทุกมื้อก็คงเบื่อซะก่อน  ดังนั้นทุกครั้งที่เราไปเที่ยวชะอำ-หัวหิน  ส่วนมากจะหาอาหารประเภทอื่นทานเป็นมื้อกลางวัน  ร้านส้มตำไก่ย่างแซ่บๆ เป็นร้านลำดับแรกๆ ที่เรานึกถึงทุกครั้ง  

พอนึกถึงร้านส้มตำในชะอำ  เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักร้านแซ่บอีหลีเป็นอย่างดี เพราะทุกครั้งที่ไป คนจะแน่นแทบทุกครั้ง  ส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ นี่เอง   แสดงว่าอาหารอิสานนี่เป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่จริงๆ ค่ะ เพราะขนาดมาทะเล ก็ยังมาต้องมาหาอาหารอิสานทาน ^^

จริงๆ มีร้านส้มตำที่อร่อยกว่าร้านนี้หลายร้าน แต่อยู่เลยออกไปแถวหัวหิน  ถ้าใครพักโรงแรมแถวหาดชะอำ การมาทานที่แซ่บอีหลีก็สะดวกและใกล้กว่าเยอะ

วันนี้เราเลือกมาทานที่นี่เพราะพักโรงแรมใกล้ๆ ร้านค่ะ  ไม่อยากเข้าเมืองหัวหินอีก เพราะเดี๋ยวมื้อเย็นก็ต้องเข้าไปอยู่ดี  

ไปถึงประมาณเที่ยงพอดี  แต่โชคดีที่วันนี้คนไม่เยอะมากนัก  ยังพอมีโต๊ะว่างไม่ต้องรอคิว...เมนูมาเป็นเล่มบางๆ ...มีหลายหน้าเหมือนกัน...มีผักให้ 1 กระจาด  สดใช้ได้ มีน้ำแข็งใส่มาด้วย จานแรกที่ยกมาเป็นหมูแดดเดียว (70 บาท)
ทอดมาร้อนๆ กรอบนอก เหนียวนิดๆ ออกแรงเคี้ยวเพลินๆ เผลอแป๊ปเดียวหมดจานไม่รู้ตัวน้ำตกหมู (70 บาท)  ปรุงมารสชาติเข้มข้นดี  ติดที่เนื้อหมูแข็งและบางส่วนก็ไหม้เกรียมจนดำ  ส้มตำไทย  มะละกอสดดี โดยรวมจัดว่าโอเค ไม่ได้อร่อยเวอร์ แต่ก็ทานได้เพลินๆ ปากเป็ดทอด (90 บาท)  หน้าตาน่าทาน  ทอดมากรอบและเกรียมกำลังดี ไก่ย่าง  ไก่ย่างที่นี่ยังไม่ถูกใจเราค่ะ  หมักไม่ค่อยเข้าเนื้อและไม่มีกลิ่นหอมอย่างที่ควรเป็น เนื้อเยอะแต่ไม่มีรสชาติหมึกแดดเดียว   เป็นธรรมดาที่หมึกแดดเดียวจะค่อนข้างเหนียว แต่จานนี้เหนียวมากเกิ๊น  ไม่แนะนำให้คนฟันไม่แข็งแรงสั่งค่ะ ^^จานสุดท้ายเป็นยำปลาดุกฟู   ตัวปลาดุกฟูกรอบใช้ได้ แต่น้ำยำไม่ค่อยโอเค รสไม่กลมกล่อมเท่าที่ควรอย่างที่บอกไปว่ายังมีร้านส้มตำที่อร่อยๆ อีกหลายร้าน แต่อยู่ละแวกตัวเมืองหัวหิน ดังนั้นถ้าใครพักแถวชะอำและไม่อยากเสียเวลาขับรถไปหัวหินก็แนะนำร้านนี้ค่ะ  โดยรวมทั้งรสชาติอาหาร ความสะอาด และการบริการ ก็ถือว่าพอใช้ได้  ทานแล้วยังมีเวลากลับไปนอนเอกเขนกที่โรงแรม ก่อนที่จะออกไปว่ายน้ำ ทำกิจกรรมต่อในช่วงเย็น 

สรุปภาพรวม
รสชาติอาหาร :  พอใช้
ความคุ้มค่า : ไม่แพง ราคามาตรฐานร้านส้มตำทั่วไป
การบริการ : ไม่มีอะไรให้ชมหรือติ
บรรยากาศ : กว้างขวาง  มีที่นั่งเยอะ ไม่มีแอร์ 

บางครั้งเวลาไปเดินห้างสรรพสินค้า  ก็นึกอยากจะทานส้มตำอร่อยๆ ในร้านบรรยากาศดี แอร์เย็นๆ และที่สำคัญ ราคาต้องสมเหตุสมผล  ซึ่งร้านอาหารอิสานขึ้นห้างที่ดังๆ แม้จะมีอยู่หลายร้าน  แต่บางร้านก็ราคาค่อนข้างสูงและรสชาติไม่ค่อยน่าประทับใจ...

ร้าน ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก by หัวปลาช่องนนทรี  พึ่งเปิดสาขาใหม่ที่ Mega Bangna (ตั้งอยู่บางนา กม. 8 ) ชั้น 2 โซนร้านอาหารด้านนอก  ซึ่งคนรักอาหารอิสานอย่างเราก็ไม่พลาดแน่ๆ   วันที่ไปทานมีโปรโมชั่นฉลองเปิดร้านใหม่ ลด 15% ด้วยค่ะ ( อันนี้ดีงามมาก เลือกทานที่นี่ทันที่ไม่ลังเล ^^ )

ร้านตกแต่งแบบเรียบง่าย สบายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยรายละเอียดของวัสดุที่เลือกใช้ และดีไซน์ที่ตั้งใจสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ... โคมไฟรูปฝาชีกับผนังอิฐแดงสร้างบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง โต๊ะและเก้าอี้เข้ากันได้ดีกับบรรยากาศโดยรวม เข้าไปทานตอน 4 โมงเย็น มีอยู่ 2-3 โต๊ะ บรรยากาศสบายๆ ค่ะ  แต่ช่วงค่ำๆ จะคึกคักและมีลูกค้าแน่นร้าน 
เราชอบเมนูของที่นี่นะ  เป็นเมนูแผ่นเดียวมี 2 หน้า ดีไซน์ได้กลิ่นไอลูกทุ่ง รูปสวย....  รายการอาหารมีไม่เยอะจนตาลาย  อ่านง่าย แยกหมวดหมู่ชัดเจน เลยทำให้ลูกค้าช่างเลือกอย่างเราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะ 

เมนูด้านหนึ่งเป็นประเภท "ส้มตำ"  "ต้ม"  "ทอด"  ส่วนอีกด้านเป็นประเภท  "ยำ"  "ย่าง" "เครื่องดื่มและของหวาน"
สำหรับราคาอาหารถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับร้านส้มตำข้างถนน ไม่มีแอร์  ราคาของที่นี่ก็สูงกว่าไม่เท่าไหร่ อย่างแรกที่สั่งเลยไม่ต้องคิดคือ "ส้มตำไทย" (55 บาท ) เมนูเบสิคที่ทำให้อร่อยยาก  ส่วนตัวเห็นว่าร้านอาหารอิสานทุกร้านต้องใส่ใจกับส้มตำไทยของตัวเองให้มาก  เพราะเป็นความประทับใจแรกที่ลูกค้าจะสัมผัสได้ค่ะ ^^   ส้มตำไทยของที่นี่ถือว่าสอบผ่านอย่างเฉียดฉิว ตัวมะละกอสดกรอบใช้ได้ มะเขือเทศสด กุ้งแห้งโอเคไม่มีกลิ่น
แต่รสชาติอ่อนไปหน่อยค่ะ  รสเปรี้ยวเค็มหวานกลมกลืนกันดี แต่รวมแล้วรสมันยังอ่อนละมุนลิ้น ไม่จัดจ้านเท่าที่ควร...

กุ้งแช่น้ำปลา (110 บาท)  เสิร์ฟมาแบบราดน้ำแซ่บมาเรียบร้อย   รสชาติอ่อน(อีกแล้ว)ค่ะ  คือมันควรจะแซ่บซี๊ดได้มากกว่านี้จริงๆ นะ  ในจานมีกุ้งประมาณ 6 ตัว สดดีไม่มีกลิ่นคาว...ปีกไก่ทอดกระเทียม (90 บาท) จานนี้ต้องสั่งทุกครั้งสำหรับเด็กจอมซนทัั้ง 2 คน...  เสิร์ฟมาประมาณ 5 ชิ้น ทอดมากำลังดี ไม่ดำไม่เกรียมเกินไป กระเทียมไม่ไหม้ถือว่าสอบผ่าน  รสช่าติกลมกล่อม แต่หนังน่าจะทอดได้กรอบกว่านี้ค่ะ...หมูร้องไห้ (80 บาท) จานนี้ต่างจากคอหมูย่างตรงที่ใช้เนื้อหมูส่วนที่มันน้อยมาทำ ส่วนตัวเราว่าทำได้ดีเพราะกินแล้วไม่ต้องกลัวอ้วนเหมือนกินคอหมู... เนื้อหมูแน่นๆ ออกแรงเคี้ยวเพลินดี   ปริมาณที่ให้มาถือว่าไม่น้อยเมื่อเทียบกับราคา รสชาติใช้ได้  อาจจะเผ็ดไปเล็กน้อยสำหรับคนทานเผ็ดไม่เก่ง...  
เมี่ยงปลาทับทิม (250 บาท)  เสริ์ฟพร้อมผัก เส้นหมี่ลวก และน้ำจิ้ม 2 แบบคือน้ำจิ้มซีฟู๊ดและน้ำจิ้มถั่วรสหวาน...ตัวปลาทับทิบสด เนื้อหวานธรรมชาติ ไม่มีอะไรให้ติ  แต่ผักที่ให้มาน้อยไปหน่อย  น้ำจิ้มทั้ง 2 แบบรสชาติอ่อนเกินไป  เวลาทานแบบเมี่ยง น้ำจิ้มควรมีรสจัดกว่านี้ เพราะความจืดของผักที่ทานพร้อมกันจะทำให้น้ำจิ้มแทบไม่มีรสอะไรเลยค่ะ...จิ้มจุ่มทะเลรวม  (180 บาท) มาเป็นหม้อจิ้มจุ่มขนาดกำลังดี เหล่าเนื้อสัตว์ต่างๆ มีกุ้ง ปลาหมึก หมู ตับหมู ต้มมากับผักหลายชนิดและวุ้นเส้น  วัตถุดิบสดและปริมาณถือว่าเยอะค่ะหม้อนี้ ทานเกือบไม่หมด... มีติตรงน้ำซุปค่อนข้างจืดและน้ำจิ้มรสอ่อนมาก   รู้สึกได้ถึงความเผ็ดอย่างเดียว  ใส่เท่าไหร่ก็ไม่มีรสชาติยกเว้นรสเผ็ด... ถ้าปรับตรงน้ำจิ้มได้ก็ถือว่าเป็นเมนูที่น่าสั่งอีกเมนูนึง...สรุปแล้วถือว่าร้าน ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก by หัวปลาช่องนนทรี  เป็นร้านอาหารอิสานบนห้างที่สอบผ่าน... วัตถุดิบสดดีแต่รสชาติอาจจะอ่อนเกินไป    เมื่อมองภาพรวมของร้านแล้วก็คงจะกลับไปทานอีกค่ะ  เพราะบรรยากาศร้านใช้ได้ ความสะอาดจัดว่าดี  อาหารสด พนักงานเป็นกันเอง และราคาไม่แพง    ที่สำคัญ.. ถูกใจหนุ่มน้อยคนนี้   เพราะมีที่ให้เธอได้โพสท์ท่าหล่อๆ ปิดท้ายอย่างสนุกสนาน  ^^ สรุปภาพรวม
บรรยากาศร้าน : ดี เหมาะกับแนวของอาหาร
รสชาติ :  รสชาติอ่อนเกินไปสำหรับอาหารอิสาน ควรปรับปรุงให้รสเด่นชัดขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย 
วัตถุดิบ :  สด สะอาด
การบริการ : วันที่ไปทานมีลูกค้าน้อย พนักงานบริการได้ทั่วถึง เป็นกันเอง
ความคุ้มราคา : ไม่แพง คุ้มกับเงินที่จ่าย เมื่อเทียบกับคุณภาพอาหารที่ได้รับ และสถานที่ตั้ง

ทริปหัวหินครั้งนี้ตั้งใจว่าจะลองไปกินอาหารทะเลที่ร้านที่ยังไม่เคยกินดูบ้าง...
ไม่งั้นไปทีไรก็กินอยู่แต่ร้านเดิมๆ ทู๊กที

ก่อนไป อ่านเจอรีวิวร้านอาหารย่านหัวหิน/ ประจวบฯ ในนิตยสารแจกฟรีของบัตรเครดิต
เค้าเขียนถึงร้านแสงไทยซีฟู๊ดเอาไว้ได้น่าสนใจ
เลยตัดออกมาติดกระเป๋าสตางค์ไว้เลย จะได้ไม่ลืม

ร้านหาไม่ยากค่ะ ถ้ามาจากชะอำ ขับไปเรื่อยๆ ผ่านพระราชวังไกลกังวล
ผ่านไฟแดง 2 ไฟแล้วสังเกตุซอยทางซายมือ ซ.หัวหิน 55
เข้าไปสุดซอยเลยค่ะ จะเห็นป้ายร้านใหญ่มาก ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอ
มีที่จอดรถกว้างขวาง แต่รถทัวร์จอดเยอะ ทำให้ต้องจอดซ้อนๆ คันกันไปถึงร้านพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปซะแล้ว
เลยอดนั่งทานไปดูทะเลยามเย็นไปอย่างที่ตั้งใจ
คนเกือบเต็มร้านค่ะ แต่ก็ไม่แน่นจนถึงต้องรอโต๊ะสั่งอาหารมาหลายอย่างค่ะ อย่างแรกที่สั่งเลยคือปูม้านึ่ง (โลละ 600 บาท)
เนื้อสดใช้ได้เลยค่ะ ( สูสีกับสังเวียนซีฟู๊ด แต่ให้สังเวียนชนะค่ะ )
น้ำจิ้มซีฟู๊ดสอบผ่านค่ะ จัดจ้านใช้ได้...พวกกั้งและลอบสเตอร์ราคาสูงพอๆ กับร้านอาหารซีฟู๊ดชายทะเลทั่วๆ ไป
วันนี้อยากทานกั้งกระดานผัดพริกเกลือ แต่ทางร้านบอกว่าวันนี้ไม่มีกั้งกระดาน
เลยอดทาน แต่ก็ดีนะคะ จะได้จ่ายน้อยลง

จานอื่นๆ ก็เบสิคค่ะ มีต้มยำปลาน้ำข้น รสแซ่บมาก (200 บาท)ปลากระพงทอดกระเทียม หมึกย่าง (จานนี้ไม่ผ่านค่ะ) ข้าวผัดปูกุ้ง (เฉยๆ ค่ะ)
ยอดมะระผัดไฟแดง และ ไข่เจียวกุ้ง สำหรับคุณลูกสาว...ปิดท้ายด้วยน้ำมะพร้าวอ่อนเย็นๆ และไอศครีมโฮมเมดมาแบบถ้วยมีฝาปิดมีช้อนในตัว
ซึ่งไม่อร่อยค่ะ...โปรดหลีกเลี่ยง ( ความเห็นส่วนบุคคลจ้า )

เช็คบิลออกมารู้สึกจะประมาณพันปลายๆ หรือสองพันนิดๆ ประมาณนี้ค่ะ
สรุปว่าไม่ผิดหวังกับร้านแสงไทยซีฟู๊ด แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นร้านที่พลาดไม่ได้
เพราะหัวหินมีร้านอร่อยๆ เยอะ ราคาก็ไม่หนีกันเท่าไหร่
ทริปหน้าเลยว่าจะลองหาร้านใหม่ๆ ชิมอีกค่ะ

ความคุ้มค่า/ ราคา : ราคาปานกลาง ถ้าไม่สั่งเมนูแพงๆ เช่นกั้ง หรือปูทะเล
รสชาติอาหาร : น้ำจิ้มซีฟู๊ดรสจัดจ้าน อาหารทะเลสดดี
บรรยากาศ : ร้านริมทะเล สร้างเป็นเรือนขนาดใหญ่ยกสูง เดินหาดไม่ได้ค่ะ
การบริการ : ดี อาหารรอไม่นาน
จะใช้บริการอีก : ไม่แน่ใจ

ปกติทุกเย็นวันศุกร์ ครอบครัวเราจะลงประชามติกันว่าจะไปทานอาหารเย็นที่ร้านไหนดี...

พ่อกับแม่และลูกสาวมีคนละหนึ่งเสียง ลูกชายวัยไม่ครบขวบก็มี 1 เสียงกับเค้าด้วย
แต่มักจะโดนพี่สาวใช้สิทธิโหวตแทนอยู่เสมอ นอกจากนี้เพื่อให้ชนะโหวต ก็จะมีการแอบล๊อบบี้
คะแนนเสียงกันระหว่างแม่กับลูกสาวอยู่บ่อยครั้ง...

ศุกร์นี้ลูกสาววัย 4 ขวบ ยืนกรานที่จะกินบาร์บีคิว พลาซ่าให้ได้ ไม่ว่าพ่อกับแม่จะหว่านล้อม
หรือโน้มน้าวยังไงก็ไม่สำเร็จ ( พ่อกับแม่อยากไปลองน้ำซุปเย็นตาโฟออกใหม่
ที่ชาบูชิ เลยอดไปตามระเบียบ )

มื้อนี้เลยจบลงที่บาร์บีคิว พลาซ่า สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3
สาขานี้ทุกอย่างยังใหม่และดูสะอาดตากว่าหลายๆ สาขา เพราะเพิ่งเปิดบริการมาได้
ครบปีเมื่อวันก่อนนี้เอง...คนใช้บริการน้อยมากในวันธรรมดา ทำให้กินกันแบบสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อยกับการ
แย่งกันเรียกตัวพนักงานเสิร์ฟเหมือนสาขาอื่นๆ วันนี้ และทุกๆ ครั้งที่กินที่บาร์บีคิว พลาซ่า ก็จะสั่งเมนูหลักเดิมๆ เหมือนกันทุกครั้งค่ะ
คือ ชุดครอบครัวหมู (400 บาท) ข้าวผัดกระเทียม (35 บาท) เกี๊ยวซ่าทอด (60 กว่าบาท)
และสั่งเพิ่มพวกลูกชิ้นปลาหมึก และกะหล่ำฝอย (ของโปรดคุณสามี)อาหารสดที่นี่ก็มีมาตรฐานใช้ได้ แต่ทีเด็ดเค้าอยู่ที่น้ำจิ้ม ซึ่งถ้าใครชอบก็จะชอบมากๆ
และรู้สึกว่ามันอร่อยเด็ด ยิ่งเติมพริก กระเทียม มะนาวเยอะๆ ก็อร่อยจนไม่มีที่ไหน
เลียนแบบได้ ส่วนใครที่ไม่ถูกชะตากับน้ำจิ้มแบบนี้ก็จะไม่ชอบไปเลย (ซึ่งน่าจะมี
จำนวนน้อยกว่าคนที่ชอบค่ะ ) ข้าวกระเทียมของที่นี่ก็ผัดได้อร่อยไม่น้อยหน้าที่อื่น คุณลูกสาวปกติจะเลือกทานมากๆ
ก็ยังชอบทานข้าวกระเทียมของที่นี่มาก รวมถึงเส้นอูด้ง กุ้ง และกะหล่ำฝอยต้มนิ่มๆ และน้ำซุป
ก็ทำให้เธอเจริญอาหารมากเชียวค่ะ

เกี๊ยวซ่าทอดก็โอเคค่ะ ไม่ได้อร่อยเลอเลิศ แต่ก็ถือว่าอร่อย น้ำจิ้มก็รสชาติดี
ถือเป็นอีกเมนูที่ต้องสั่งทุกครั้ง ตลอด 10 ปีที่ทานมา สรุปว่า มื้อนี้คุณลูกสาวคงแฮ๊ปปี้ที่สุดค่ะ ไม่รู้ว่าแฮ๊ปปี้กับอาหารอร่อยถูกใจ หรือแฮ๊ปปี้ที่
ชนะโหวตแบบไม่โปร่งใสในวันนี้ก็ไม่ทราบค่ะ

ความคุ้มค่า/ ราคา : ชุดครอบครัวหมูและข้าวกระเทียม ผู้ใหญ่ 2 คนทานพอดีอิ่ม
ราคายังพอรับได้ (ถ้าไม่ขยันปรับราคาเหมือนร้านยอดนิยมบางร้าน)
สถานที่/ บรรยากาศ : การตกแต่งเหมือนกับสาขาอื่นๆ สาขาพาราไดซ์ พาร์ค ยังใหม่
ดูสะอาดดี
รสชาติอาหาร : อาหารสด สดใช้ได้ น้ำจิ้มอร่อย
การบริการ : ดี เนื่องจากสาขานี้คนน้อย
ความสะอาด : พอใช้ได้ แต่โต๊ะและที่นั่งมักมีคราบเหนียวๆ จากละอองน้ำมัน (เป็นทุกสาขา)

ทริปล่าสุด สดๆ ร้อนๆ ไปหัวหินถิ่นของหอยมาค่ะ
ไม่ได้ไปมาเกือบปี หัวหินก็เจริญขึ้นอีกเยอะเลย
เร็วๆ นี้ก็จะมี community mall เปิดใหม่มาดูดเงินในกระเป๋าคนกรุงเทพอย่างพวกเราอีกแล้ว
เห็นติดป้ายโฆษณาอันใหญ่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองหัวหินค่ะ...

คราวนี้พักที่ Springfield@Sea ริมหาดชะอำ
ห่างจากตัวเมืองหัวหินประมาณ 30 กิโลค่ะ
โรงแรมนี้พึ่งเปิดได้ไม่กี่ปี เป็นโรงแรมในเครือ Springfield Resort & Spa
อยู่ติดหาดเลยค่ะ มีถนนเล็กๆ คั่นกลาง...มื้อเย็นคืนแรกเราขับรถไปกินที่หัวหินค่ะ
ส่วนคืนที่สองขี้เกียจดั้นด้นไปหัวหินละ เลยเลือกกินที่ร้านขาใหญ่ประจำหาด
(เพราะเห็นมีอยู่เจ้าเดียว แถมยังตั้งร้านยื่นไปบนหาดทรายได้อีกด้วย)
และเป็นร้านประจำของหลายๆ ครอบครัว รวมถึงครอบครัวเราด้วยค่ะ
นั่นก็คือ... ร้านป้าสังเวียน หรือสังเวียนซีฟู๊ดนั่นเอง...
เดินไปจากหาดโรงแรมไม่กี่สิบก้าวเองค่ะ ไปถึงร้านตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง แต่คนเริ่มเยอะแล้วค่ะ โต๊ะเต็มไปกว่าครึ่งแล้ว
เราเลือกนั่งในส่วนตัวร้านที่อยู่ริมถนน มีหลังคามิดชิด
เพราะเห็นฝนตั้งเค้ามา และมีเด็กเล็กด้วย กลัวว่าจะไม่สบาย
แต่เมื่อก่อนตอนยังไม่มีเจ้าตัวเล็ก ก็จะนั่งกันตรงส่วนที่เป็นโต๊ะบนหาดทรายทุกครั้ง
(ช่วงยังสวีทไงคะ)

สั่งอาหารไปหลายอย่าง มีปูม้านึ่งโลนึง กุ้งแชบ๊วยตัวใหญ่ ปลากะพงทอดกระเทียม ข้าวผัดปู
ทอดมันกุ้ง หมึกทอดกระเทียม ยอดมะระผัดไฟแดง แล้วก็สั่งน้ำมะพร้าวหวานเย็นชื่นใจ
จากรถเข็นที่จอดอยู่ใกล้ๆ มาดับร้อนเหมือนทุกครั้ง (ลูกละ 20 บาท)

อาหารราคาปานกลาง เหมือนร้านซีฟู๊ดตามเมืองท่องเที่ยวทั่วไป แต่ราคาจะย่อมเยาว์กว่า
บรรดาร้านซีฟู๊ดที่หัวหินค่ะ

สั่งไปไม่นานอาหารก็มา คนเยอะก็จริงแต่อาหารก็ไม่ช้า ถือว่าสอบผ่านเรื่องการจัดการในครัว
ทานไปก็วุ่นกับการจับเจ้าตัวเล็กไป เลยอดถ่ายรูปมาเยอะๆ เลยรสชาติอาหารก็เหมือนเดิม คืออะไรที่อร่อยก็ยังอร่อยเหมือนเดิม
เช่นปูม้านึ่ง สดมาก เนื้อหวานมาก หมึกทอดกระเทียม รสชาติโอเค ราคาไม่แพง
ส่วนอะไรที่ไม่ค่อยอร่อย เช่น ทอดมันกุ้ง ก็ยังคงไม่อร่อยเหมือนเดิม
รักษาความคงเส้นคงวาไว้ได้ดีมากค่ะ
แต่โดยรวมก็ถือว่ามาทานได้ไม่ผิดหวัง กินลมชมทะเลไปเพลินๆ ก็โอเคแล้วค่ะสรุป
ความคุ้มค่า/ ราคา : ราคาสมเหตุสมผล ปริมาณต่อจานค่อนข้างมาก
รสชาติ : ปูม้าสดมาก น้ำจิ้มซีฟู๊ดอร่อย ทอดมันกุ้งต้องปรับปรุง
การบริการ : ใช้ได้ แม้คนจะเยอะมาก
บรรยากาศ : ชาวบ้านชาวบ้าน ชิลๆ ริมทะเล
จะกลับไปกินอีกครั้ง : เป็นไปได้สูงมาก