นักรีวิวร้านอาหาร

สำหรับผู้ที่แพ้นมวัว และแพ้แป้ง ตอนนี้มีร้านดี ๆ ที่ทำมาเผื่อคุณ ๆ แล้วววววว 
Meloliz Healthy ร้านนี้เค้าคัดสรรวัตถุดิบอย่างดีเพื่อคุณลูกค้าโดยเฉพาะ 
ทุกเมนูบอกส่วนผสมหมดว่าใส่อะไรบ้าง ทำให้ผู้ที่แพ้นมวัว และแพ้แป้งวางใจในคุณภาพสินค้าได้ รสชาติเบเกอรี่นั้นก็ถูกปากซะด้วย 
หรือถ้าสาว ๆ คนไหนกำลังควบคุมน้ำหนัก แต่อยากกินพวกเบเกอรี่แล้วหล่ะก้อ บอกเลยว่าทุกเมนูของร้านนี้เพื่อสุขภาพสุด ๆ
ถึงหน้าตาจะดูน่าอ้วน แต่ถ้าดูแคลแล้วหล่ะก็น้อยมาก ๆ 

Tofuna (110-) เนื้อมูสด้านบนเป็นเต้าหู้เด้งดึ๋งมากส่วนข้างล่างเค้าจะเป็น Oat, Macadamia และ Almonds, มะพร้าวบดผสมรวมกัน 



Sexy Blueberry (155-) มันก็คือบลูเบอรี่ชีสเค้กนี่แหละ แต่ว่าครีมชีสของที่ร้านใช้ถั่วเหลืองแทนการใช้นมวัว 


Pink Cotta (115-) ตัวนี้คือพานาค็อตต้าที่ทำจากน้ำนมอัลมอนด์ ส่วนแยมสตรอเบอรี่ด้านบนผสมเมล็ดเซียลงไปด้วย เวลาทานนี่รู้สึกกรึบ ๆ เลย 



Melty Choc (80-) Dark Chocolate เข้มข้นที่ละลายในปาก ที่สำคัญใช้นมถั่วเหลืองและนมมะพร้าวแทนครีมเข้มข้นด้วย
 
Brownie (35-/ชิ้น) เป็นบราวนี่ถั่วดำที่อัดแน่นไปด้วยโปรตีนจากถั่วดำ และถั่วเหลือง เมนูนี้แอบมีความหอมอ่อน ๆ ของกล้วยด้วย 


Charcoal Bar (50-/ชิ้น) เมนูนี้เอาใจสายสุขภาพสุด ๆ ส่วนผสมจากธัญพืชเยอะมากทั้งโฮลวีท โอ๊ต เมล็ดเซีย อัลมอนด์ และแมคคาดาเมีย 


Whitebary เค้กกล้วยหอม (40-/ชิ้น) อันนี้ที่ร้านบอกพึ่งทำออกขายได้ไม่นานมานี้เอง เป็นเค้กกล้วยหอมข้าวไรซ์เบอร์รี่ นุ่ม ๆ หอม ๆ 


เมนูเครื่องดื่มที่ร้านก็เพื่อสุขภาพเช่นกัน ใช้ความหวานจากหญ้าหวานแทน 
ส่วนผสมที่มีนมก็เป็นนมถั่วเหลือง





นี่ลองหมดแล้วบอกเลยว่าดีงามทุกอย่าง มีลูกหลานแพ้แป้ง แพ้นมวัว แล้วอยากกินเบเกอรี่แนะนำว่าไปร้านนี้ดูคุณหนู ๆ จะได้กินเบเกอรี่อร่อย  ๆ

ร้านนี้อยู่โซนร้านอาหาร กินแซ่บกินซ่า ตรงตลาดด้านหลัง
ร้านห้องแรกติดกับลานจอดรถเลย
วันนี้ไปถึงก่อนเค้าเปิดร้าน กำลังเตรียมของกันอยู่
เราก็นั่งรอมันหน้าร้านนี่แหละ
ระหว่างนั่งรอเหลือบไปเห็นเมนูนี้วางอยู่บนโต๊ะ ราคาน่าคบหากันอยู่นะ
ว่าแล้วก็ต้องสั่งซิ มาแล้ววววว เริ่มต้นล้างปากกันเลยกับยำแซลมอน
แซ่บจี๊ดจ๊าดถึงใจ แถมเนื้อปลาหั่นเต๋าชิ้นใหญ่ ๆ น่ากิน
จานนี้ 99 บาทเท่านั้น
ยังไม่พอเท่านั้น เพิ่มมาอีกกับแซลมอนซาซิมิ
ที่ร้านจะมี 2 ราคาคือ 150 กับ 200 บาท
จานนี้ของเรา 200 บาท

กิน 2 จานนี้เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาต่อซูชิแล้ว
ซูชิเริ่มวางเต็มหน้าร้านแล้ว คนก็เริ่มทยอยมาเรื่อย ๆ
ที่เห็นมาเยอะ ๆ เรื่อย ๆ แบบนี้ ส่วนใหญ่ซื้อกลับบ้านทั้งนั้นเลย
ซูชิที่ร้านจะเริ่มต้นที่ราคา 10 บาท แล้วก็ 15, 20 บาท
ยกเว้นเมนูพิเศษอย่างหน้าปลาไหลย่างจะราคา 30 บาท
ราคาจำได้ไม่หมดเท่าไหร่นะคะ แต่ถ้าไปหน้าร้าน จะมีป้ายบอกไว้หมดเลย







อย่างพวกแซลมอนเนี่ยะจะคำละ 20 บาท ส่วนพวกสลัด สาหร่าย ปูอัดก็ 10 บาท
อย่าง 15 บาทก็จะเป็นพวกกุ้ง หอย ประมาณนั้น
ในส่วนของซูชิแซลมอนนั้น ที่ร้านมีหลายแบบมาก
ถึงจะคำละ 20 บาท แต่ดูชิ้นแซลมอน และความหนาแล้ว
ชิ้นใหญ่เต็มคำ กินอิ่มเหลือ ๆ 









ส่วนใครไม่ถนัดแซลมอน ที่ร้านยังมีปลาทูน่า ปลาซาบะ ปลาไหลญี่ปุ่น ฯลฯ อีกหลายเมนู

ด้วยว่าเรานั้นซัดยำและ ซาซิมิไปตอนแรกเยอะมาก ๆ  ทำให้เมนูซูชิเรากินได้ไม่กี่คำเอง
ดูกันชัด ๆ ว่าแต่ละคำมันประมาณไหน

ใครว่าอาหารอินเดียทานยาก กลิ่นแรง บอกเลยว่าให้ลืมคำพูดเหล่านั้นไปแล้วลองมาร้านนี้ จะรู้ว่าอาหารอินเดียทานง่ายกว่าที่คิด

วันนี้เรามาทานเป็นมื้อกลางวัน วันเสาร์ ซึ่งจะมีทั้ง Buffet และ a la carte ราคาบุฟเฟ่ต์อยู่ที่ 800 net รวมเครื่องดื่ม 
แต่วันนี้จะมาเต็มอิ่มกับเมนูแบบ a la carte เข้ามาก็ได้รับการบริการอย่างดี จากพนักงานที่ร้านเลย 

อาหารที่เราทานวันนี้ไม่มากไม่มายก็แค่นี้เอง 8 อย่างเอง 
Masala Papad (120++) เมนูนี้จะไม่มีเนื้อสัตว์ เป็นแป้งกรอบ รสชาติแป้งจะออกเค็ม ๆ นำมาห่อกับถั่วงอก หัวหอม มะเขือเทศ แล้วก็ใส่ Chat masala ลงไปด้วย 


Galouti Kabab(490++) จานนี้เป็น Signature Dish ของร้าน มันคือกะบับเนื้อแกะบด ถามว่าเด็ดยังไง บอกเลยว่า เนื้อแกะบดมันละลายในปากกกกกกกกกกกกกกกกก มันละลายจริง ๆ นะคุณผู้โชมมมมมมมม 

Burrah Kabab(800++) มันคือกะบับเนื้อแกะนิวซีแลนด์ ย่างหอม ๆ ตามแบบฉบับอินเดียด้วยเตาทันดูร์ เนื้อแกะจานนี้ทำดีมาก ไม่เหนียว และไม่มีกลิ่นสาป แต่เราจะได้กลิ่นเครื่องเทศที่หมักหอมดีค่ะ 

Atta Chicken(550++) มันคือไก่ย่าง ๆ ด้วยเตาทันดูร์ จากนั้นก็จะห่อด้วยใบเตย แล้วก็ขนมปังอีกชั้น แล้วจึงเอาไปอบต่อ เพื่อให้ความหอมของเครื่องเทศถึงเนื้อไก่ เมนูนี้แนะนำว่ากินกับซอสโยเกิร์ต



 Char Mirch Ka Salmon Tikka(500++) แซลมอนติ๊กก้า ปลาแซลมอนหมักเครื่องเทศถึง 4 ชนิด แล้วนำไปย่าง รสชาติเข้าเนื้อกำลังดี แถมรสชาติเนื้อปลาแซลมอนก็ยังอยู่ 


Multani Murg Tikka(350++) ไก่ย่างติ๊กก้า ไก่ย่างนี้นุ่มมาก หมักด้วยเครื่องเทศหอม ๆ เสิร์ฟมาในหม้อสวย ๆ ที่ด้านล่างมีถ่านวอร์มไก่ให้อุ่น ๆ ยกมาเสิร์ฟกลิ่นหอมมาก่อนเลย 


Dal Factory(270++) Dal จะเป็นแกงถั่วที่เคี่ยวข้ามคืนผสมกับเครื่องเทศต่าง ๆ ถ้วยนี้กลิ่นจะคล้าย ๆ มัสมั่นของบ้านเรา ด้วยว่ามีกลิ่นถั่วเป็นส่วนผสม 


เมนูนี้เป็นเมนูประจำวันที่ทางร้านแนะนำ จะเป็นแกงกะหรีชนิดหนึ่งที่ใส่ชีส ชีสในที่นี้จะแตกต่างจากซีสของทางยุโรปที่เราเคยเห็น ๆ กัน ในจานที่เราเห็นสี่เหลี่ยมขาว ๆ นั่นคือ Paneer เป็นเนยแข็งของอินเดีย มันจะเด้ง ๆ เหมือนเต้าหู้ขาว แต่อร่อยกว่า จะมัน ๆ และออกเปรี้ยวนิดนึงตามแบบฉบับการหมัก 


เมนูแกงทั้ง 2 เมนูจะให้อร่อยต้องกินคู่กับแป้งนานหรือแป้งโรตี แป้งโรตี (60++) ของที่ร้านเป็นแป้งโฮลวีทนุ่มอร่อย แป้งนาน แบบใส่เนยและกระเทียม (90++) อันนี้หอม แป้งทั้ง 2 อร่อยคนละแบบนะ แต่อร่อยทั้งคู่ คือจิ้มกับแกงไม่หยุดเลย ถามว่าชอบอันไหนมากกว่า บอกไม่ถูกเพราะชอบหมดเลย จิ้มกิน จิ้มกิน โอย ๆ ๆ คือดีงาม
Lucknowi Murg Biyani(350++) ถ้าเรียกง่าย ๆ ก็ข้าวหมกไก่นี่แหละ แต่ว่ามันไม่เหมือนของไทยเราซะทีเดียว ข้าวจานนี้จะเป็นข้าวอินเดีย ดูจากเม็ดจะเห็นว่าเม็ดเรียวยาวกว่าข้าวไทย จะบอกว่าอร่อยมากกกกก กลิ่นเครื่องเทศมันหอมละมุนมาก กินแล้วมีกลิ่นในข้าวและไก่เบา ๆ (ตัดภาพข้าวหมกไก่แบบไทย ๆ ออกไปได้เลย)

Malai Jamun with Chocotate sauce (195++) คล้าย ๆ เค้ก นุ่ม ๆ แต่จะเน้นหนักออกไปทางครีม มีสตรอเบอร์รี่สดช่วยตัดความหวาน 

Assorted Kulfi (145++) มันคือไอศครีมสไตล์อินเดีย ถามว่าต่างจากไอศครีมที่เรากินยังไง ไอศครีมสไตล์อินเดียจะเน้นความมันของนมมาก นมมัน ๆ มันอร่อยดีนะ 

Saptrasa (160++) เป็นเครื่องดื่มระหว่างมื้อของเรา แนะนำว่าเจออาหารมื้อหนัก ๆ แบบนี้ Saptrasa สามารถช่วยคุณได้

ได้ยิน concept มานานแล้วเหมือนกันสำหรับราเมงข้อสอบ ร้านนี้น่าจะใช้ concept เดียวกันแบบร้านที่ญี่ปุ่น
ตอนนี้มาเปิดใกล้บ้านแล้วก็เลยขอแวะเวียนไปลิ้มลองซะหน่อย 

ร้าน A Ramen อยู่ในโครงการ little walk บางนา (ถ.บางนา-ตราด กม.3) บ่าย ๆ วันเสาร์เดินเข้าไปแบบงง ๆ ว่าเปิดหรือยัง แต่จริง ๆ ร้านนี้เปิด 24 ชม. ร้านไม่ใหญ่มากที่นั่งก็จะกั้นตามรูปแบบนี้ มีที่นั่งไม่เยอะเท่าไหร่

แล้วถ้ามากันหลายคนหล่ะจะเม้าท์มอยทำไง นี่เลยที่กั้นก็เปิดได้
สำหรับการสั่งอาหารเข้ามาก็ชำระเงินซื้อการ์ดตรงแคชเชียร์ก่อน ราคาปกติจานละ 150 บาท (น้ำเปล่าบริการฟรี) แต่ถ้าใครจะสั่ง topping เพิ่มก็แลกเผื่อได้เลย เสร็จแล้วก็เข้ามาเลือกที่นั่งตามสบาย สำหรับการสั่งเราก็เลือก ๆ วงกลมตามที่เราอยากได้เลย 


มาแล้ววววววราเมงของเรา


เราเลือกไปประมาณนี้
เลือกแบบเข้มข้น คือเข้าใจว่ามันต้องเข้มข้นด้วยซุปกระดูกหมู แต่เปล่าเลยเค็มเกิ้นนนนน  เพราะแอบชิมของคนข้าง ๆ เลือกปานกลางยังเค็มเลย 
เลือกแบบติดมัน คือปกติไม่ชอบกินมันอยู่แล้ว แต่เลือกเพราะคิดว่ามีติดมันนิดหน่อยตามสไตล์หมูชาชูน่าจะโอเค แต่พอมาถึงดูมันเซ่!!!!!!!!! เฮ้ย ๆ ๆ ติดเยอะไปแล้ว แต่ก็กินหมดนะ หมูอร่อยดีชอบ ๆ แต่ครั้งหน้าขอเลือกแบบไม่ติดมันนะ 
เลือกเผ็ดแบบ x2 ยังไม่รับรู้ถึงความเผ็ดเลย

เอาเป็นว่าโดยรวมแล้วรสชาติเราให้ผ่านนะ เข้มข้นดี จานใหญ่กินอิ่ม ไปกินครั้งต่อไปคงจะเลือกไม่พลาดละบอกเลย

Havana Social ร้านนี้จะเป็นบาร์ลับ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 11 
ซอยที่ถือว่าค่อนข้างวุ่นวายซอยหนึ่งย่านสุขุมวิท แต่พอเราเข้ามาร้านนี้แล้วก็เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งไปเลย 

Havana เป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศคิวบา Concept ร้านนี้จะเป็นรูปแบบของร้านในช่วง 70-80 ปีก่อน เป็นยุคปฏิวัติของคิวบา ที่ข้างนอกจะมีความวุ่นวายของสงครามและช่วงที่สงครามสงบร้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ก็จะเปิดให้บริการเพื่อเป็นที่แหล่งบันเทิงของคนสมัยนั้น

ขึ้นชื่อว่าเป็น Secret Bar จะเข้าร้านนี้ก็ใช่ว่าจะเปิดประตูเข้ามาได้ง่าย ๆ นะ ต้องกดรหัสลับที่แป้นโทรศัพท์ก่อนถึงจะเข้ามาได้ อยากรู้รหัสต้องโทรไปสอบถามที่ร้านก่อนที่ 087-066-7711 




เข้ามาแล้วข้างในเหมือนพาเราย้อนกลับไปอยู่ยุคนั้นกันเลย ทั้งรูปแบบร้าน การตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ เฟอร์หนังแบบวินเทจ และสไตล์เพลง มันเหมือนอีกเมืองนึงไปเลย






ที่ร้านจะเน้นเป็นเครื่องดื่มซะส่วนใหญ่ อาหารเป็นเหมือนอาหารทานเล่นมีอยู่ 3 อย่าง ที่สั่งมาก็จะเป็น Cubano Sandwich ทำร้อน ๆ กรอบ ๆ ข้างในเครื่องเต็มห่อมาด้วยกระดาษที่ออกแบบให้เหมือนกระดาษหนังสือพิมพ์ดูให้เข้ากับรูปแบบร้าน อีกเมนูคือ Spinach Empanada เป็นพายผักโขมมาพร้อมน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน



เมนูเครื่องดื่มของที่ร้านที่โดดเด่นเลยคือส่วนผสมในแต่ละแก้วคือ Rum บางขวดเป็น 10 ปี กลิ่นฉุนได้ใจมาก อีกอย่างคือ ไซรัป ที่นี่เป็นโฮมเมดทุกตัวได้ลองชิมเปล่า ๆ  หอมหวานจริง ๆ สำหรับเมนูค่ำคืนแห่งความสนุกวันนี้คือ

Salted Caramel(280++) แก้วนี้แนะนำสำหรับคนที่ไม่ดื่มเข้ม ๆ รสจะอ่อน ๆ ใส่ rum ไม่มาก ได้กลิ่นหอมของไซรัปหน่อย ๆ 

The Ricardo Robson(320++) สีสวยน่าลอง มีน้ำผึ้งสดมาเป็นก้อน หอมหวาน รสอ่อน ๆ ดื่มง่าย 

Rum Old-Fashioned(320++) แก้วนี้ค่อนข้างแรง(ดูเผิน ๆ นี่เหมือน on the rock) ใช้ Rum ที่หมักกว่า 12 ปีแต่ยังมีความหอมอโรมาของกลิ่นของเปลือกส้ม

Between The Sheets(340++) อันนี้จะมี 2 แก้ว แก้วใหญ่จะออกเปรี้ยว แก้วเล็กจะออกหวาน(แต่ไม่หวานมาก) บางคนจะจิบแก้วใหญ่ที่นึงแล้วก็จะมาจิบแก้วเล็กทีนึง หรือจะผสมกันหมดเลยก็ได้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน

Fidel's Nightcap(360++) แก้วนี้ใช้ Espresso syrup แล้วก็โรสแมรี่ เป็นส่วนผสม ความหอมของ 2 อย่างนี้ช่วยให้แก้วนี้มีอะไรน่าค้นหาไปอีกแบบ

ใครชอบค็อกเทลอยากรู้รายละเอียดแนะนำว่านั่งที่เค้าเตอร์เลย บาร์เทนเดอร์แนะนำตลอดเกี่ยวกับเครื่องดื่มที่สั่งว่าเค้าใช้ส่วนผสมอะไร ยังไง 

วันที่ไปเป็นวันธรรมดา ที่ร้านมีคลาส Salsa Dance ด้วย มีคนเรียนเยอะเหมือนกัน เรียนไว้เอามาเต้นที่ร้านนี่แหละ เพราะคืนวันศุกร์-เสาร์นี่เค้ามีเปิดฟอร์ลกันตลอด เห็นว่าคนค่อนข้างเยอะ(ถึงขั้นเต็มร้าน)



อยากรู้ความลับของบาร์นี้เพิ่ม แนะนำว่าต้องมา ทำให้รู้ว่าร้านแปลก ๆ ดี ๆ มีซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพด้วย